บท
ตั้งค่า

บทที่ 6 คนร่วมบ้าน

บ้านชั้นเดียวหลังนี้เป็นหนึ่งในแผนการวางอนาคตของตัวเองยามบั้นปลายชีวิต พิจิการอบคอบถึงขนาดคิดว่าบ้านต้องตั้งอยู่ใกล้กับโรงพยาบาล เพื่อความสะดวกในการเดินทางยามชรา อีกทั้งเพื่อนบ้านก็เป็นกลุ่มข้าราชการที่ใกล้เกษียณ...มันอาจจะเร็วไปในสายตาบางคน แต่สำหรับคนที่มีจุดยืนอย่างหล่อน การเตรียมพร้อมตั้งแต่เนิ่นๆ ถือเป็นความไม่ประมาทกับชีวิต

แม้จะอยู่ในห้องหับมิดชิด แต่สายฝนข้างนอกที่ตกกระหน่ำก็ยังดังเข้ามาให้ได้ยิน พิจิกาข่มตาหลับไม่ได้ เพราะในสมองมีแต่ภาพตัวเองที่ติดอยู่ในรถยนต์

หญิงสาวพลิกกายนอนหงาย จ้องมองเพดานห้องท่ามกลางความสว่างจากแสงไฟ พยายามเพ่งพิจารณาลวดลายที่ประทับบนฝ้าเพดานเพื่อให้สมองจดจ่อแค่ตรงนี้...หลายนาทีผ่านไป หล่อนก็ทำมันได้

ความคิดในหัวค่อยๆ สงบลง ดวงตาเริ่มปรือปรอย หากพอจะหลับตา พลันสรรพสิ่งรอบตัวก็ดับพึ่บเหมือนใครมาปิดสวิตช์

“กรี๊ด!”

พิจิกาลุกผลุงจากที่นอน สมองตื่นตัว สติกำลังจะโบยบิน

เสียงกรีดร้องดังลั่นห้องนอน สติที่หลงเหลือเพียงนิดพยายามสั่งให้สมองควบคุมตัวเอง แต่หล่อนทำไม่ได้ ความกลัวที่ฝังอยู่ในใจกำลังครอบงำ นำความดำมืดมาคลุมหล่อนจนหวาดผวา

“พริกเป็นอะไรหรือเปล่า เปิดประตูสิ”

เสียงจากด้านนอกดังเข้ามา พิจิกาเนื้อตัวสั่นเทา หล่อนหยุดเสียงกรีดร้องได้แล้ว แต่กลับมีเสียงร้องไห้กระซิกดังออกมาแทน

“เปิดประตู”

หญิงสาวอ้าปากค้าง หล่อนพยายามจะเปล่งเสียง...ทั้งที่ไม่รู้ว่าต้องการบอกอะไรกับเขา หากแค่วินาทีต่อมา หญิงสาวต้องผวาซ้ำ เพราะเสียงกระแทกปังดังขึ้นตรงประตูห้องนอน

ประตูห้องนอนเปิดกว้าง พร้อมกับแสงไฟสาดเข้ามา พิจิกายืนตลึงงัน จ้องมองคนตัวใหญ่ที่ยืนตระหง่านตรงช่องประตูตาไม่กะพริบ

“ผมเอง คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”

“ไม่...”

พิจิกาตอบเสียงแผ่วเบา คำถามมากมายผุดขึ้นในหัว หากหล่อนหลุดมาได้แค่คำเดียว

“ทำไม”

“ไฟดับน่ะ คุณไม่ต้องกลัวนะ ฝนตกหนักก็อย่างนี้แหละ”

“ไม่...ไม่ใช่”

“หืม...คุณหมายถึงอะไร”

“คุณทำอะไร”

“ผมเหรอ” อายุธเลิกคิ้ว ก้มมองตัวเอง ท่อนไม้ขนาดเหมาะมือยังเป็นหลักฐานมัดตัวจนต้องยกมันให้หญิงสาวดู “คุณร้อง ผมจะเข้ามาดู แต่คุณไม่เปิดประตูให้ ผมก็เลยเปิดมันเอง”

“คุณทุบประตูห้องนอนฉัน?”

“ใช่ แต่มันซ่อมได้ ผมแค่ทุบลูกบิดประตู”

อายุธตอบหน้าตาเฉย ภาพกระจกรถยนต์ร่วงกราวยังคงติดตา หากไม่ทันข้ามวัน หล่อนต้องมาเห็นเขาพังประตูห้องนอนเพียงแค่แรงทุบเดียวอีก

“คุณนี่มันจอมทำลายจริงๆ”

“พูดอย่างนี้แสดงว่าหายตกใจแล้วใช่ไหม”

อาการใจหายใจคว่ำเพราะจู่ๆ ไฟก็ดับมืดนั้นหายไป แต่หล่อนกลับต้องเผชิญกับเรื่องน่าตกใจยิ่งกว่า ซึ่งมาจากฝีมือของเขา

พลันเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พิจิกาสะดุ้งขึ้นมาอีกครา อาการขวัญเสียจากอุบัติเหตุทำให้หล่อนยังคงขวัญอ่อน แม้เป็นเรื่องเล็กๆ ทว่าอายุธที่มองอยู่นั้นเข้าใจดี เขาจึงไม่อยากคลาดสายตาจากหล่อน

“หาโทรศัพท์เจอไหม”

อายุธถามเมื่อเห็นหญิงสาวทำท่าก้มๆ เงยๆ เขาจึงส่องไฟฉายที่เอาติดมือมาจากในรถช่วยอำนวยความสะดวกให้ และในที่สุดหล่อนก็เจอโทรศัพท์มือถืออยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงนอน...พิจิการีบรับสายของพ่อ

“พ่อหรือคะ”

“พริกเป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยดีไหม”

เสียงของพ่อร้อนรน น้ำเสียงนั้นเจือความสั่นพร่า พิจิการู้ทันทีว่าพ่อกำลังตระหนก...พ่อคงรู้เรื่องอุบัติเหตุของหล่อนแล้ว

“หนูปลอดภัยค่ะพ่อ หนูไม่เป็นอะไร”

“พ่อขอโทษเอ็ง พ่อไม่ได้รับโทรศัพท์” เสียงนั้นขาดห้วง พิจิกาสงสารพ่อจับใจ หล่อนเข้าใจความรู้สึกของพ่อ

“หนูไม่เป็นไรค่ะ รถไถลลงข้างทาง หนูเปิดประตูออกไม่ได้ ก็เลยโทร.หาพ่อให้มาช่วยเปิด แต่พอดีมีคนมาช่วยไว้ก่อน”

พิจิกาปรายตามองคนที่มาช่วยหล่อนให้ออกมาจากรถ เขายังยืนปักหลักอยู่ในห้องนอน และทอดมองหล่อนด้วยท่าทางสนใจฟังอย่างไม่สงวนท่าที

แม้ในเวลานั้นความเป็นความตายอยู่แค่เอื้อม แต่หญิงสาวก็พยายามเล่าให้กลายเป็นเรื่องเล็ก หล่อนไม่อยากให้พ่อคิดมากเพราะการไม่ได้รับสายของหล่อน

พิจิกาเข้าใจพ่อ โดยนิสัยของพ่อไม่ชอบติดต่อสื่อสารกับใครนัก ชีวิตหลังเกษียณมีเพียงงานประดิษฐ์โมเดลรถยนต์กับหมาพันธุ์ไทยสามตัวคอยอยู่เป็นเพื่อน โทรศัพท์มือถือจึงมีไว้ติดบ้านเท่านั้น ที่ผ่านมาหล่อนมักส่งข้อความไปหา และน้อยครั้งที่พ่อจะตอบกลับในทันที แต่ไม่เคยทิ้งช่วงนานข้ามวัน

“เปิดกล้องให้พ่อเห็นกับตาสิว่าเอ็งปลอดภัย”

เมื่อพ่อขอมา พิจิกาจึงกวาดสายตามองไปรอบห้องเพื่อหามุมมองที่จะปรากฎบนหน้าจออย่างเหมาะๆ...และหล่อนก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้ตรงโต๊ะที่วางชิดผนัง จากนั้นจึงเปิดกล้องตามที่พ่อบอก

“ไฟดับน่ะพ่อ มันก็เลยมืด” หญิงสาวรีบบอก เมื่อเห็นพ่อมุ่นคิ้วเพ่งมองผ่านหน้าจอเข้ามา

“แล้วเอ็งอยู่ได้ไหม”

“หนูอยู่ได้ค่ะ”

พิจิกาปรายตามองคนยืนถือไฟฉายโดยอัตโนมัติ ซึ่งพบว่าเขายังมองหล่อนอยู่เช่นเดิม

“เอ็งโอเคแน่ๆ ใช่ไหม จะให้พ่อไปหาที่บ้านหรือเปล่า”

“มะ...ไม่ต้องค่ะ”

พิจิการีบปฏิเสธ หล่อนเป็นห่วงพ่อ ไม่ต้องการให้พ่อขับรถกลางค่ำกลางคืนขณะที่ฝนยังตกหนัก เพราะกลัวจะเกิดเหตุซ้ำรอยตัวเอง...และยังมีอีกเหตุผลสำคัญ นั่นก็คือคนตัวโตคนนี้ยังประกบหล่อนอยู่ไม่ห่าง

“งั้นคืนนี้ถ้ามีอะไร ให้เอ็งรีบโทร.มาหาพ่อ พ่อจะคอยรับสาย ตอนนี้เอ็งนอนพักผ่อนได้แล้วนะ พรุ่งนี้ตื่นเช้ามาก็โทร.มาหาพ่ออีกที”

พิจิการับปากพ่อ ต่อเมื่อวางสายจากกัน หญิงสาวก็เผลอถอนหายใจอย่างโล่งอก…เพิ่งรู้ตัวตอนนี้เองว่าตนกำลังมีพฤติกรรมปกปิดความลับ

หญิงสาวหันไปมองคนที่จับพลัดจับผลูกลายมาเป็นคนอยู่ร่วมบ้านในค่ำคืนนี้ แล้วบอกเขาเสียงจริงจัง

“คุณออกไปได้แล้วค่ะ และคืนนี้ห้ามเข้ามาในห้องนี้อีก”

พิจิกาตื่นนอนเวลาเช้า หล่อนปรือตามองเพดานห้องอย่างต้องการเรียกความคุ้นเคย...ตอนนี้หล่อนอยู่ที่บ้านตัวเอง ไม่ใช่บ้านพักในมหาวิทยาลัย

หากเมื่อพลิกกายไปทางประตูห้องนอน ภาพจำเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในหัว หญิงสาวผุดลุกขึ้นมานั่งกลางเตียงโดยไว

โต๊ะไม้ตัวเดียวที่อยู่ในห้องถูกเลื่อนมาขวางประตูไว้ เพราะเมื่อคืนมีจอมทำลายทุบลูกบิดประตูจนมันใช้งานไม่ได้

พิจิกาวาดเท้าลงบนพื้น แล้วเดินไปลากโต๊ะกลับที่เดิม เรียวปากสวยเม้มสนิทเมื่อเห็นสภาพประตูห้องอย่างชัดตา มีเพียงลูกบิดประตูที่ได้รับความเสียหาย ส่วนบานประตูนั้นยังอยู่ในสภาพเดิม...แต่ไม่ว่าอย่างไร หล่อนก็ลงความเห็นว่าเรื่องนี้อายุธทำเกินกว่าเหตุ

คนบ้าอะไร นึกจะเข้าห้องคนอื่นก็พังประตูได้หน้าตาเฉย

พลันนึกสงสัยว่าตอนนี้เขาตื่นนอนหรือยัง...หรือจะกลับบ้านไปแล้ว

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel