4
เล่ห์ลวงบ่วงซาตาน
บทที่ 4
อบรมสั่งสอน
“สอนกันตั้งแต่ตอนนี้แหละดีแล้ว ไม่กี่ปีลูกเราก็จะโตเป็นสาวแล้ว เดี๋ยวก็ได้กับพวกยาจก หาเช้ากินค่ำ เงินไม่มีจะกินหรอกค่ะ”
“เหลวไหลน่าคุณ สอนให้ลูกตั้งใจเรียนดีกว่า” ยอดชายรู้สึกรำคาญ ภรรยาของเขาค่อนข้างดูถูกคนจน แต่ก็รักลูก เขาจึงไม่อยากให้เธอสอนลูกไปในทางที่ไม่ดี
“ฉันหิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันดีกว่า นั่งหลังขดหลังแข็งสวดศพกว่าจะเสร็จ หิวขาวจะตายอยู่แล้ว”
“ในงานศพก็มีอาหารทำไมคุณไม่กิน”
“โอ๊ย! สกปรกโสโครก ของชาวบ้านพวกนั้น ฉันไม่กินหรอกค่ะ กินเข้าไปมีหวังท้องเสีย ลูกก็เหมือนกันนะจ๊ะ คราวหน้าคราวหลังอย่าไปกินของที่พวกชาวบ้านจนๆ มันให้กิน มันอาจจะใส่ยานอนหลับให้เรากิน พอเราหลับแล้วมันก็ปลดทรัพย์สินเงินทองของเราไปก็ได้นะลูก”
“จริงเหรอคะคุณแม่”
“จริงสิจ้ะ ตอนที่มันเอาน้ำหวานมาให้ลูก ดีนะที่แม่เห็นเสียก่อน ทีหลังอย่าไปกินเด็ดขาด”
“แวะร้านนี้แล้วกันคุณ” ยอดชายตัดบท ฟังเมียสอนลูกแล้วเอือมระอาอยู่ไม่น้อย
“ไม่เอาร้านนี้ ฉันไม่กินอาหารข้างทางคุณก็รู้ แวะอีกร้านข้างหน้าโน้น” คนพูดมองร้านหรูหราข้างหน้า ยอดชายก็ตามใจภรรยา เพราะเข้าใจว่าพิมพ์จันทร์นั้นมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย อยู่ในสังคมอีกชั้นสูง จึงไม่ลดตัวลงไปกินอาหารข้างทาง ยิ่งเสื้อผ้าข้าวของไร้รสนิยม เธอไม่เคยเคยซื้อหามาใช้
ดาวเหนือมองรถยนต์คันใหญ่ที่แล่นออกไปอย่างเหนื่อยหน่ายใจ สามคนพ่อแม่ลูกไปจากงานได้ก็ดี สายตาจิกกัดของพิมพ์จันทร์ สายตาเฉยเมยของยอดชายและสีหน้าเยาะเย้ยของธนิดา ทำให้เธออึดอัดใจไม่น้อย ถ้าไม่เพราะพวกผู้ใหญ่บอกว่าพวกเขาเอาเงินมาช่วยงานศพ อย่าไปเสียมารยาท เธอก็คงจะไล่คนทั้งสามออกไปจากงานแล้ว
ทับทิมเสียชีวิตแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกเคว้งคว้างไม่น้อย เพราะทับทิมเป็นญาติเพียงคนเดียวในหมู่บ้านที่เหลืออยู่ แม้จะเป็นญาติห่างๆ ของมารดาและยาย แต่ก็คอยช่วยเหลือเธออยู่มาก ทุกวันเธอยังได้แอบหนีไปขอของกินจากทับทิม แต่เคยคิดจะไปอยู่กับทิมทับจริงจัง คนที่บ้านของกำนันยศก็ไม่ยอม ไปพาตัวเธอกลับมา ไม่ใช่เพราะรักเพราะห่วง แต่ที่ไปพากลับมาเพราะต้องการที่จะเอาเธอไปใช้งาน ให้ทำงานในบ้านงกๆ ตื่นตั้งแต่หัวรุ่ง และเข้านอนดึกดื่นเที่ยงคืน
“น้าทับทิมจ๋า น้าไม่อยู่แล้วหนูจะขอความช่วยเหลือจากใครกันคะ” เด็กน้อยพูดแล้วร้องไห้เบาๆ
ธนิดาพูดจาดูถูกว่าไม่มีเงินจัดงานศพ ก็ไปขอทานเอาสิ ทำให้ดาวเหนือเจ็บใจเป็นอันมาก เธอกำหมัดแน่น พยายามระงับอารมณ์เอาไว้อย่างสุดกลั้น
เด็กน้อยรู้สึกอิจฉาคนมีเงินเยอะๆ ที่จะทำอะไรก็ทำได้ เธออยากมีเงินเยอะๆ เป็นคนรวยบ้าง จะไม่ได้ไม่ต้องโดนโขกสับเช่นนี้
เด็กน้อยวัยสิบขวบเศษนั่งมองโลงศพญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ ศพตั้งอยู่ในศาลาสวดอภิธรรมที่ร้างผู้คน ความรู้สึกของเด็กน้อยคือความเศร้าโศกเสียใจ เธอร้องไห้จนตาบวม แต่ก็ทำตามที่ผู้ใหญ่บอก คอยต้อนรับแขกที่มาในงาน และพรุ่งนี้ก็จะฌาปนกิจศพแล้ว
การเผาศพของที่นี่ต้องดูวันเผาด้วย ไม่ใช่จะเผาวันไหนก็ได้เพราะเป็นความเชื่อแต่ดั้งเดิม แต่ก็จัดงานศพให้ได้เผาเร็วที่สุดเพราะหากเจ้าภาพไม่มีเงิน งบจะได้ไม่บาน
เจ้าอาวาสวัดใจดี ช่วยจัดการนิมนต์พระมาสวดศพให้โดยไม่รับเงิน ในงานมีค่าอาหาร ค่าโลงศพ ดอกไม้จันท์และของจิปาถะอย่างอื่น
“น้าทับทิมจ๋า หนูมาหานะจ๊ะ” ดาวเหนือเคาะโลงบอกทับทิมด้วยน้ำตานองหน้า
เธอขอนอนกับศพของทับทิมเป็นครั้งสุดท้าย บรรดาเพื่อนๆ ของทับทิมในวัยไล่เลี่ยกันในหมู่บ้านนอนเป็นเพื่อนด้วย เพราะไม่อยากให้เด็กน้อยต้องนอนคนเดียว ดีอย่างว่าทางบ้านกำนันยศ ไม่ได้ว่าอะไรที่เธอมานอนเฝ้าศพทับทิม
ทับทิมเป็นสาวโสดใจดี แต่มาด่วนจากไป ด้วยความที่อัธยาศัยดี จึงเป็นที่รัก การจัดงานศพจึงไม่ได้ยากลำบากอะไร เพราะมีคนคอยช่วยงานกันมากมาย
“นอนพักเอาแรงเสียหน่อยเถอะดาวเหนือเอ๊ย น้าของเอ็งไปสบายแล้ว พรุ่งนี้ก็ได้ไปอยู่บนสวรรค์ไม่เจ็บไม่ทุกข์อะไรแล้ว”
“จ้ะน้า” ทับทิมแม้จะเป็นญาติห่างๆ แต่ก็มีศักดิ์เป็นน้า เธอจึงเรียกทับทิมว่าน้ามาตั้งแต่เกิด
“คนเราทำดีได้ดี เชื่อน้าสิ”
“จ้ะน้า” ดาวเหนือรับคำพร้อมทั้งก้มมองมือตัวเองอย่างใจลอย
“นอนเถอะ” ประโยคนั้นทำให้ดาวเหนือทิ้งตัวลงนอนแต่นอนไม่หลับ เด็กน้อยยกมือขึ้นวางบนหน้าผากของตัวเอง ครุ่นคิดมากมายอะไรในหัว ไม่รู้ว่าชีวิตจะดำเนินต่อไปยังไงดี เมื่อไม่มีญาติเหลืออยู่อีกแล้ว
รุ่งเช้าของวันใหม่ คนที่มาเป็นประธานในพิธีงานฌาปนกิจศพของทับทิมคือยอดชาย ยอดชายช่วยเหลืองานศพจนเสร็จตามคำสั่งบิดา ก็ได้หน้าได้ตาคนชื่นชมกันทั้งหมู่บ้าน รวมถึงเมียและลูกด้วย
ดาวเหนือยกมือไหว้แขกเหรื่อซึ่งก็คือคนในหมู่บ้านที่มาช่วยงานศพจนร่างของทับทิมถูกเคลื่อนย้ายไปเผายังเมรุ และต้องมาเก็บกระดูกไปลอยอังคารในวันรุ่งขึ้น
“พ่อจะพานังดาวเหนือมาเลี้ยงดูในบ้านเหรอคะ พิมพ์ไม่ยอมนะ จะให้นังเด็กชั้นต่ำนั่นเข้ามาอยู่ในบ้านของเราในฐานะอะไรคะ ให้มันไปอยู่บ้านหลังเก่าท้ายสวนเหมือนเดิมก็ดีแล้ว” พิมพ์จันทร์เสียงดังใส่พ่อสามี
กำนันยศถึงกับทำหน้าดุใส่ลูกสะใภ้ พิมพ์จันทร์เลยต้องลดความเกรี้ยวกราดลงไป ยอมถอยมานั่งลงใกล้ๆ กับสามีเพราะยังเกรงใจพ่อสามีอยู่มาก
กำนันยศเอือมระอากับพิมพ์จันทร์เป็นอันมาก แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นลูกสาวคุณหญิงพิมพ์พรรณ ภรรยาของเพื่อนรัก ท่านเลยทน เข้าใจว่าพิมพ์จันทร์ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ ที่บ้านก็มีฐานะร่ำรวยเข้าขั้นเศรษฐี จึงพูดจาไม่เกรงใจใครและไม่ไว้หน้าใครแบบนี้ เพราะคุณหญิงพิมพ์พรรณก็เจ้ายศเจ้าอย่าง ตอนไปสู่ขอก็เรียกสินสอดทองหมั้นหลายล้านบาท ทั้ง ๆ ที่ลูกสาวของตัวเองท้องก่อนแต่ง
กำนันยศไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินทองจัดสินสอดทองหมั้นให้ตามที่ขอ แต่การได้สะใภ้คนนี้เข้าบ้านมา ก็ไม่ได้ทำให้อะไรๆ ของที่ครอบครัวดีขึ้นมาเลย
พิมพ์จันทร์ไม่ได้เข้ามาดูแลบ้านช่องให้ดีอย่างที่ภรรยาที่ดีควรจะทำ นอกจากจิกใช้คนในบ้านเอาตามอำเภอใจ แถมยังใช้เงินฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายไปวันๆ ทุกอาทิตย์ต้องเข้าเมืองไปชอปปิงผลาญเงินผัวเล่นเพราะบอกว่าอยู่ที่บ้านนอกมันเครียด เลยต้องไปหาทางระบายโดยการใช้เงิน
"ถือว่าสงสารเด็ก ยังไงเด็กนั่นก็เคยช่วยพ่อเอาไว้ อีกอย่างเด็กนั่นก็คือหลานของพ่อด้วย”
“หลานเหรอคะ? เดี๋ยวนี้คุณพ่อกล้าเรียกนังเด็กนั่นว่าหลานเต็มปากเต็มคำแล้วเหรอคะ!” พิมพ์จันทร์กระชากเสียงถาม
“พิมพ์ใจเย็นๆ ก่อนคุณ อย่าทำให้คุณพ่อโกรธจะดีกว่า” ยอดชายรีบปรามภรรยาเอาไว้ เขาก็เอือมระอากับนิสัยของพิมพ์จันทร์เต็มกลืน ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เขาคงไม่แต่งงานกับเธอ
“คุณพ่อก็เอาเงินฟาดหัวมันไปสิคะ จะไปลำบากอุปการะเลี้ยงดูมันทำไมกัน ชาวบ้านที่นี่ใจบุญสุนทานกันเหลือเกิน อยากอุปการะมันด้วยกันทั้งนั้น ให้พวกมันเลี้ยงไปสิ ที่สำคัญมันไม่ใช่หลานของคุณพ่อหรอกค่ะ มันเป็นลูกใครก็ไม่รู้ ก็เห็นกันกับตาว่าแม่มันมีผู้ชายไปมาหาสู่มากมาย ไปนอนกับใครมาก็ไม่รู้”
“เด็กมันโตขึ้นทุกวัน เลี้ยงดูเอาไว้ มันจะได้ช่วยงานเรา พ่อแค่บอกเราสองคนให้รู้เท่านั้นว่าจะเลี้ยงดูดาวเหนือเอาไว้ในบ้าน ไม่ได้ขอความเห็นหรือการคัดค้านอะไรจากเราสองคน เด็กผู้หญิงจะให้อยู่เพียงลำพังได้ยังไง หากโดนข่มเหงขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ!” ประโยคนั้นทำให้สองสามีภรรยานิ่งเงียบไปเลยทีเดียว