บทที่ 10 เทศกาลหยวนเซียว (1)
บทที่ 10 เทศกาลหยวนเซียว (1)
ใบหน้างดงามซึ่งแฝงไว้ด้วยความเย็นชา ทว่าเวลานี้นัยน์ตาสีดำสนิทกลับทอไว้ด้วยความหงุดหงิด แม้สีหน้าไม่เปลี่ยนแต่บรรยากาศเย็นๆ ที่แผ่ออกมาก็ทำให้นางกำนัลที่ทำหน้าที่แต่งกายให้ถึงกับสั่นสะท้านอย่างหวาดกลัว
ร่างโปร่งนั่งนิ่งอยู่หน้าคันฉ่อง อาภรณ์สีม่วงถักทอด้วยเส้นไหมสีทองเป็นรูปหงส์สยายปีกงดงามจับตา เส้นผมสีดำเงางามม้วนขึ้นปักด้วยปิ่นทองลายเดียวกันกับชุด
ความงดงามบนใบหน้าเป็นที่สะดุดตาแก่ผู้พบเห็น อาภรณ์ที่สวมใส่ขับทอให้ผิวเขาเนียน ความสง่างามแลดูสูงส่งของหลิ่วเหวินอี้ยิ่งทำให้เหล่านางกำนัลนอบน้อมยิ่งกว่าเดิม
“พระสนมเรียบร้อยแล้วเพคะ” น้ำเสียงนอบน้อมจากเหล่านางกำนัลทำให้หลิ่วเหวินอี้พยักหน้ารับพร้อมลอบหายใจอย่างโล่งอกเพราะตนโดนลากจากที่นอนมาแต่งตั้งแต่เข้ายามสี่ คำเรียกขานแม้ไม่คุ้นชินแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะนางกำนัลเหล่านี้มีหน้าที่ทำตามคำสั่งของลั่วเหยียนเจิ้งเท่านั้น
“เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีเฒ่าที่ถูกส่งตัวมารับใช้พระสนมลั่วเหวินอี้แม้ยังไม่ได้แต่งตั้งเป็นทางการ ทว่าอาภรณ์ที่สวมใส่ล้วนบอกว่าหากผู้ใดได้รับใช้ย่อมได้ดิบได้ดี ร่างโปร่งลุกขึ้นเดินออกตำหนักด้วยกิริยาเป็นธรรมชาติแต่คนที่อยู่ใกล้ชิดกลับรับรู้ถึงรัศมีเจิดจ้าของอีกฝ่าย
“นายน้อยวันนี้จะมีการลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ” หลวนซานที่แต่งกายเป็นองครักษ์เดินติดตามมากระซิบข้างๆ แผ่วเบาที่ทำให้ได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น
หลิ่วเหวินอี้เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนที่มุมปากจะยกยิ้มบางอย่างไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจ พลางคิดว่าผู้ใดช่างโง่เขลาสิ้นดีแม้เทศกาลหยวนเซียวในครั้งนี้ ผู้คนมากมายภายในงานที่สำคัญยังมีจิวชงหยวนที่ขึ้นชื่อว่าหมอเทวดารักษาได้ทุกโรคจะมีใครมาตายต่อหน้าได้
“คอยดูละครก็พอแล้ว”
หลิ่วเหวินอี้เอ่ยบอกหลวนซานแผ่วเบาก่อนจะเดินไปยังห้องพักของลั่วเหยียนเจิ้งซึ่งอยู่ไม่ไกลนักเพราะเขาพักอยู่ตำหนักเดียวกันกับฮ่องเต้ เมื่อมองไปยังตำหนักเถาฮวาที่กำลังอยู่ขั้นตอนการก่อสร้างซึ่งคืบหน้าไปมากกว่าสามสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว
คาดว่าไม่เกินสองเดือนคงเสร็จเรียบร้อย แต่เขาคิดว่าตัวเองน่าจะทำงานเสร็จเรียบร้อยก่อนที่จะสร้างเสร็จ เห็นทีตำหนักเถาฮวาคงจะเป็นของผู้อื่นกระมัง เมื่อคิดมาถึงตรงนี้หัวใจกลับรู้สึกหม่นหมองอย่างบอกไม่ถูก
ขณะนั้นลั่วเหยียนเจิ้งเดินออกจากห้องมาจึงได้เห็นร่างโปร่งในอาภรณ์สีม่วงสด ความสง่างามของคนตรงหน้าช่างตราตรึงจนอยากเก็บไว้คนเดียว เมื่อไรกันที่ตนมีความคิดเช่นนี้ ดวงตาเรียวสวยหันมาสบตาเขา พลันนั้นหัวใจที่เงียบสงบกลับเต้นระรัว ทุกครั้งที่เขาเห็นอีกฝ่ายเหตุใดหัวใจถึงได้เต้นแรงอย่างนี้
หลิ่วเหวินอี้ที่ความรู้สึกไวหันไปมองสายตาที่ถูกจับจ้องมา ร่างสูงสง่าในอาภรณ์สีเหลืองลายมังกรดูน่าเกรงขาม ใบหน้าคมคายถูกบดบังด้วยมาลาสีเดียวกันกับชุดซึ่งมีไข่มุกสีเงินเม็ดเล็กห้อยลงมาจนยากจะเห็นสายตาคู่นั้นว่าเป็นเช่นไรและคิดการใดอยู่
ความสง่างามของลั่วเหยียนเจิ้งทำให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายสูงส่งจนมิกล้าจะอาจเอื้อม หากเขาหลงรักคนผู้นี้จริงคงได้ไปผูกคอตายกับต้นมะเขือเพราะความซ้ำใจแน่แท้
“เจ้างดงามมากอี้เอ๋อร์”
คำชมของอีกฝ่ายทำให้หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้า คำชมนั่นมันสำหรับผู้หญิงไม่ใช่หรือ? แต่ว่าฮ่องเต้มากเล่ห์อย่างลั่วเหยียนเจิ้งที่ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือเท็จเขาจะไม่ใส่ใจแล้วกัน
“เจ้าไม่ชอบชุดที่ข้าเลือกให้หรือ”
ลั่วเหยียนเจิ้งเดินเข้ามาใกล้ พร้อมเอ่ยถามอย่างฉงนเมื่อเห็นใบหน้าเย็นชาของอีกฝ่าย แววตาคู่สวยเวลานี้มันนิ่งจนไม่อาจเดาอารมณ์ได้ หลิ่วเหวินอี้เป็นคนเดียวที่เขาไม่สามารถอ่านสายตาได้
คำถามของคนตรงหน้าทำให้หลิ่วเหวินอี้ก้มมองชุดตัวเองอีกครั้ง ความเนียนนุ่มของเนื้อผ้าอีกทั้งลวดลายของชุดล้วนงดงาม จนอยากขอบคุณที่ไม่ตัดชุดอิสตรีให้เขาไม่เช่นนั้นคงได้ฆ่ากันก่อนจะได้เข้าร่วมงานแน่ๆ แต่ว่าลายหงส์ที่ตนสวมใส่เวลานี้มันทำให้รู้สึกขัดแย้งเหมือนมีบางสิ่งไม่ถูกต้อง ทว่าเวลานี้คร้านที่จะไถ่ถาม ทำแต่เพียงเป็นผู้เข้าร่วมงานและชมละครฉากใหญ่เท่านั้น