บทที่ 5
“ปิ่นขอโทษค่ะ พอดีดีใจที่คุณคิมมาช่วย”
“ดีใจที่ฉันมาช่วยก็เลยกอดฉันงั้นสิ เห็นทีเธอต้องกอดหลายคนเลยล่ะ ชาติมันก็มาช่วย ไอ้เดช ไอ้พีอีก เข้าไปกอดสิเข้าไป พวกเค้าก็มาช่วยเธอเหมือนกัน ตอบแทนความดีที่พวกเค้ามาช่วยเธอไง” ชาติชายและคนงานต่างมองหน้าคิมหันต์เป็นตาเดียว ก่อนจะเสมองหน้าที่ซีดราวกับไข่ต้มที่เห็นได้แม้ในที่มืดของฝ่ายหญิง ปากเจ้านายของพวกเขานี้สุดยอด พูดออกมาได้ยังไง สาวน้อยแสนซื่อทำตามคำพูดของคิมหันต์ ค่อยๆ เดินมาหยุดตรงหน้าชาติชาย โดยมีสายตาของคิมหันต์มองตาไม่กระพริบ แถมยังถลนตาใส่ลูกน้องตัวดีอีกด้วย
“ไม่ ไม่ต้องก็ได้ปิ่น” ชาติชายรีบพูดทันที แต่มันไม่เป็นอย่างที่เขาคิดไว้นะสิ
“ขอบคุณพี่ชาติมากนะคะ” เธอเอ่ยขอบคุณเสียงเบา ก่อนจะสวมกอดร่างของชาติชาย คนที่ถูกกอดอยากจะกลั้นใจตาย หากไม่มีร่างของคิมหันต์ยืนหน้าถมึงทึง จ้องหน้าเขาอยู่แบบนี้ เขาจะกอดตอบรับเธอทันที ทว่าตอนนี้ขาทั้งสองข้างของเขาสั่นมากกว่า มือก็สั่น ใจยิ่งสั่น ‘กูอยากจะบ้าตายทำอะไรไม่ถูกแล้ว’ หญิงสาวคลายอ้อมแขนจากร่างของชาติชาย ตั้งท่าจะเดินไปที่ร่างของเดช หากแต่ข้อมือเล็กถูกมือใหญ่ของคิมหันต์กำไว้แน่น ฉุดกระชากลากถูออกไปจากป่าทันที บุคคลทั้งสามต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดบรรยากาศเมื่อไม่ถึงหนึ่งนาทีที่ผ่านมา มันช่างอึดอัดดีแท้ ไหนบอกว่าเป็นตัวซวย เป็นคนที่เกลียดนักเกลียดหนา แต่ทำไมเมื่อสักครู่ตอนที่ปิ่นปักกอดร่างของชาติชาย ดวงตาของพ่อเลี้ยงหนุ่ม แทบจะเผาผลาญร่างของลูกน้องคู่ใจ เสียววาบไปทั่วสันหลัง นั่นคือความรู้สึกของลูกน้องทั้งสามคน
ปัง เสียงปิดประตูรถยนต์โครมใหญ่ดังขึ้นตามแรงอารมณ์ของคิมหันต์ หญิงสาวที่ถูกจับยัดเข้าไปในรถ นั่งก้มหน้านิ่งทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ตัวเองทำผิดอะไรเขาถึงได้โกรธมากมายขนาดนี้ ก่อนที่เสียงปังครั้งที่สองที่ดังจากประตูฝั่งคนขับจะดังในเวลาต่อมา
ความเงียบปกคลุมไปตลอดทางที่รถกระบะขับเคลื่อน เขาไม่หันมามองหน้าหญิงสาวที่นั่งเบาะข้างๆ เลยแม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งรถจอดนิ่งสนิทที่หน้าบ้านไม้สักหลังใหญ่
“ขอบคุณนะคะ” หญิงสาวพนมมือไหว้ เปิดประตูก้าวลงจากรถ ปิ่นปักเดินไปได้เพียงสองสามก้าว ในสมองของเธอหมุนเคว้ง ทุกอย่างรอบตัวเคลื่อนที่ไปมา แม้กระทั่งร่างของชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่กำลังเดินเข้าไปในบ้าน มีภาพซ้อนทับกันสามสี่ร่าง เธอพยายามฝืนเดินต่อไปได้อีกไม่ถึงสองเมตร ร่างงามก็ทรุดลงไปนอนกองที่พื้น
“จะมานอนตายหน้าบ้านฉันไม่ได้นะ ปิ่น ปิ่น” จังหวะที่เธอทรุดกายลงไปนอนอยู่ที่พื้น ไม่รู้ว่าอะไรดลใจแต่เขามีความรู้สึกว่าต้องหันไปมอง เขาหันใบหน้ามามองร่างของเธอตอนที่ทรุดพอดี คิมหันต์จึงเดินตรงไปที่ร่างของปิ่นปัก ย่อตัวลงใช้ฝ่ามือตบที่ใบหน้าของเธอเบาๆ เพื่อเรียกสติ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจอุ้มร่างของปิ่นปักเข้าไปในบ้าน
“ตัวร้อนอย่างกับไฟ” คิมหันต์พูด หลังจากที่พาร่างของปิ่นปักขึ้นมาที่ห้องรับรองชั้นบน เขาก็เดินออกไปจากห้องนั้นทันที ก่อนจะเข้ามาในห้องนี้อีกครั้งในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา เพื่อดูว่าเธอฟื้นคืนสติหรือยัง ถ้าฟื้นจะได้ไล่ออกไปจากบ้าน แต่กลายเป็นว่าเขาต้องตกใจ เมื่อมือใหญ่สัมผัสได้ถึงความร้อนของร่างสาว
“ทำไงดีวะ” เขาเหมือนจะถามตัวเองมากกว่า จะเดินไปเรียกคนรับใช้ที่กลับไปที่พักก็จะเป็นเรื่องใหญ่ จะตามหมอที่อยู่ในตัวเมืองหมอคงมาไม่ได้ เนื่องจากฝนที่เพิ่งหยุดตกไปไม่นานมานี้ ได้กระหน่ำตกลงมาอีกครั้ง ครั้นจะปล่อยให้นอนตัวสั่นแบบนี้ก็คงไม่ได้ ปอดบวมเล่นงานแน่เลย คนไม่สบายเขาทำยังไงกันเนี่ย ใช่ เช็ดตัว คิมหันต์จึงเดินเข้าไปในห้องน้ำ จัดเตรียมของบางอย่างราวสองนาที ก่อนจะกลับมาที่เตียงในมือถือขันใบเล็กมาด้วย
“เสื้อยังเปียกอยู่เลย ปล่อยไว้แบบนี้ปอดบวมแน่ๆ” เขาพูดเมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ ยังคงมีความเปียกชื้นอยู่ จำต้องถอดออกและผลัดเปลี่ยนให้ใหม่ เขาจึงเดินกลับไปที่ห้องนอนของตัวเอง หาเสื้อที่พอจะผลัดเปลี่ยนให้สาวร่างเล็กคนนี้ได้
มือใหญ่จับที่ชายเสื้อยืดพอดีตัวของปิ่นปักเลิกขึ้นสูง ลมหายใจของเขาที่สม่ำเสมอเริ่มฟืดฟาด หายใจลำบาก หัวใจเต้นถี่รัว เนื่องจากชายเสื้อได้ร่นขึ้นมาสูงถึงเนินอก อวดความอวบใหญ่ของเนื้อนวลทั้งสองเต้า ที่ถูกห่อหุ้มด้วยบราเซียร์สีชมพู กระจ่างชัดเต็มสองนัยน์ตา เขาไม่คิดว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ จะซ่อนความยิ่งใหญ่ของทรวงอกได้มากมายขนาดนี้ ชายหนุ่มรีบดึงเสื้อออกทางศีรษะของ ปิ่นปักอย่างรวดเร็ว สวมเสื้อยืดตัวโคร่งของเขาให้กับหญิงสาวทันที ก่อนที่เขาจะอดใจไม่ไหว จากนั้นก็จัดการกับกางเกงของเธอ ขั้นตอนนี้เองที่เขาต้องหลับตาทำตลอดเวลา ทำให้มือใหญ่สัมผัสกับเนินสาวหลายครั้ง โดยไม่ตั้งใจ ความร้อนจากกายสาวพุ่งตรงมาที่กายหนุ่มทันที เขาจึงหรี่ตาเล็กน้อยเพื่อที่จะสวมกางเกงยางยืดให้กับปิ่นปักได้ถนัดขึ้น