บทที่ 30 อาคมกักวิญญาณ (1)
บทที่ 30 อาคมกักวิญญาณ (1)
หลังจากได้เติมพลังงานจนอิ่มแล้ว จิวชงหยวนได้แต่มองพื้นโล่งข้างหน้าเงียบๆ โดยไม่คิดจะก้าวเข้าไปแม้แต่น้อย ลู่เฟยเองก็ยืนนิ่งเพื่อสำรวจหาสิ่งผิดปกติเช่นกัน
“เจ้าว่ามันจะมีอะไรอีกไหม” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนข้างตัว คิ้วขมวดมุ่นมองเบื้องหน้าเหมือนกลัวว่าจะมีตัวอะไรโผล่ออกมาอีก
“ค่ายกลตาข่ายฟ้ามันครอบคลุมพื้นที่ค่ายกลวิญญาณพิษจนหมด มันน่าจะมีอะไรสักอย่าง” ลู่เฟยกล่าวตอบ ลองโยนหินข้างตัวเข้าไปเพื่อพิสูจน์ดูเป็นอันดับแรก
ฟิ้วววว~
ก้อนหินที่ถูกโยนใส่กำแพงอุโมงค์ทะลุผ่านเข้าไปต่อหน้าต่อตาคล้ายกับว่ามีอีกมิติหนึ่ง หรือไม่ก็เป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น จิวชงหยวนเลิกคิ้วอย่างฉงนก่อนจะสร้างกระบี่จากลมปราณพุ่งไปที่กำแพงอุโมงค์
ตูม!
เพียงแค่มีลมปราณผ่านเข้าไป ภาพที่เห็นเป็นผนังอุโมงค์ในคราแรกกลับเปลี่ยนไป จิวชงหยวนมองภาพตรงหน้าอย่างสยองเมื่อสิ่งที่ปรากฏออกมาไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ชายหญิงมากมายต่างตายตกอย่างน่าเวทนา บางศพก็แห้งเหี่ยว บางศพก็เหลือแต่โครงกระดูก
และบางศพชิ้นส่วนถูกแยกออกจากกัน ภาพตรงหน้าทำเอาอาหารที่กินไปแทบจะออกทางเดิมอีกครั้ง ใบหน้างดงามหน้าเบือนหนี จากที่เห็นเดาได้ไม่ยากว่าสิ่งเหล่านี้ถูกนำมาสร้างกระบี่มารเล่มที่ลู่เฟยถืออยู่ บางศพโดนดึงดูดพลังลมปราณจนหมดสิ้น
“ลู่เฟยข้าว่าเจ้าทำลายกระบี่มารนี่เถอะเห็นวิธีการสร้างแล้วข้ารู้สึกสะอิดสะเอียนนัก” จิวชงหยวนหันไปบอกคนข้างตัวที่ก้มมองกระบี่มารในมือแล้วพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
“หืม ทำไมบอกง่ายจัง” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างสงสัย ลู่เฟยหันมามองแล้วยกยิ้มบาง
“ข้าแค่อยากได้จูบเจ้าเป็นรางวัลอีกครั้ง” จิวชงหยวนนิ่งอึ้งไปกับคำตอบ สรุปแล้วจูบเขามีค่าเท่ากับกระบี่มารเลยหรือ หากแต่จะไปเปรียบเทียบตัวเขากับกระบี่ทำไมกัน และเขาคงเผลอทำหน้าตาเอ๋อๆ ออกมาจนลู่เฟยถึงกับหัวเราะในลำคอ แต่นี่มันใช่เวลามาจีบเขาไหมนี่
“เอาไงต่อ ข้างหน้าก็เป็นที่เก็บศพไปแล้ว” จิวชงหยวนเอ่ยถามแก้เก้อ ลู่เฟยเดินเข้าไปดูใกล้ๆ พลางหาสิ่งผิดปกติ เขาจึงเดินตามเงียบๆ แม้จะไม่ค่อยชอบกับภาพสยดสยองในตอนนี้แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกมากนัก
“ในนี้ไม่มีสิ่งผิดปกติ นอกจากวัตถุในการสร้างกระบี่มารนี่” จิวชงหยวนพยักหน้าเห็นด้วย มองกระบี่มารสีแดงอมส้มแล้วขนลุกชันไม่ใช่มันน่ากลัวแต่เขารู้สึกกลัวกับสิ่งที่ใช้สร้างมันขึ้นมา
“กระบี่เล่มนี้เจ้าทำลายมันได้ไหม” จิวชงหยวนเงยหน้ามองคนถามขณะที่เดินกลับมาหาเขาอีกครั้ง
“น่าจะได้ แต่ต้องเพิ่มลมปราณสิบสองส่วน”
“ถ้าเช่นนั้นก็เก็บแรงไว้ก่อน ค่อยทำลายเจ้านี่ทีหลัง” ลู่เฟยบอกพร้อมเสียบกระบี่ลงช่องที่ดูผิดปกติช่องหนึ่งลักษณะคล้ายไว้เสียบกระบี่โดยเฉพาะ
ครืดดดด
ประตูเปิดออกอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะมีเส้นทางออกไปได้อีก ภายในห้องนี้ดูเงียบวังเวงและโล่งจนผิดสังเกต ที่สำคัญอักขระตาข่ายฟ้าที่ไม่ได้เห็นมาระยะหนึ่งจนตอนนี้ปรากฏขึ้นอีกครั้งและมีจุดหนึ่งที่มุมห้องมีตะปูแหลมขนาดใหญ่ตอกทับผ้ายันต์สีแดงเอาไว้
“ข้าสัมผัสได้ว่ามีไอเทพหลงเหลืออยู่ในนี้” จิวชงหยวนหันไปบอกลู่เฟยที่กำลังสำรวจผ้ายันต์ตรงหน้าอย่างเคร่งเครียด
“ใช่ เหล่าจือต้องอยู่ที่นี่แน่ แต่ว่าข้าไม่แน่ใจว่าพลังปราณของข้าตอนนี้จะพอปลดคาถาตะปูกักวิญญาณนี่ได้หรือไม่” จิวชงหยวนเดินมาดูอย่างสนใจ อักขระมากมายในผ้ายันต์ล้วนแล้วคุ้นตาทั้งๆ ที่เคยเห็นครั้งแรก
“เจ้าจำคาถาปลดผ้ายันต์นี้ได้หรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามพร้อมเอามือหมายจะจับผ้ายันต์นั้นดู ทว่ามือหนากลับยึดข้อมือไว้
“อย่าจับมั่ว มันสามารถดูดพลังลมปราณเจ้าได้ หากจะปลดต้องใช้ลมปราณที่มากกว่าเพียงครั้งเดียว ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการเพิ่มพลังให้กับมัน”
“วิชามารเช่นนี้ ใครกันที่กล้าทำ”
“ผู้มีวิชาความรู้พวกนี้ได้ก็คงเป็นพวกนักพรตหรือไม่ก็พวกหมอผีปีศาจจากชนเผ่ามองโกล”
ลู่เฟยอธิบายเสียงเรียบ พร้อมพยายามนึกถึงคาถาที่ติดมาจากความทรงจำที่เริ่มกลับคืนมามากทุกครั้งหลังจากที่เขาแตะเนื้อต้องตัวจิวชงหยวน และเมื่อวานนี้ยิ่งทำให้ความทรงจำในอดีตกลับมาได้ถึงแปดส่วน
จิวชงหยวนขยับถอยห่างออกมาเมื่อรู้ว่าลู่เฟยจะทำอะไร พลังลมปราณสีขาวนวลแผ่ออกมาตามแรงบีบเค้นเพื่อปลดผนึกผ้ายันต์นี้