2
“วันนี้กูไม่ไปต่อกับพวกมึงนะ”
“อืม”
“เอาไว้นัดกันวันอื่นแล้วกัน”
“ไม่ครบองค์ประชุม งานจะเดินหน้าได้ไงวะ แล้วไอ้เคมันหายหัวไปไหนของมัน” เพทายเอ่ยถามขึ้น เมื่อเพื่อนในกลุ่มมากันไม่ครบขาดแต่คนที่กล่าวถึงไปเมื่อครู่
“มันบอกมาแล้ว ให้พวกเราตัดสินใจเอง ตอนนี้มันยุ่งเรื่องครอบครัวมันอยู่ ดูแล้วคงอีกนานกว่าจะกลับไทย” น้ำเหนือตอบออกมา ช่วงนี้ต่างคนต่างมีภาระหน้าที่ เขาเองก็ต้องเดินทางกลับเหนือ ของเย็นวันนี้เช่นเดียวกัน
“เอ่อๆ งั้นกูกลับก่อนแล้วกัน ช่วงนี้แม่กูก็ไม่รู้เป็นอะไรนักหนา หาแต่เมียมาให้”
“มีเป็นตัวเป็นตนสักคนสิ แม่มึงจะได้ไม่หาผู้หญิงมาให้แบบนี้” ภัณเตพูดขึ้น ก่อนที่เขาจะยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มเพียงนิด
“ไม่เอาหรอก กูไม่อยากเป็นเหมือนมึง ตอนนี้ไอ้เคก็กำลังเป็นเหมือนมึงอีกคนแล้ว ไม่รู้ในกลุ่มนี่ใครจะเป็นรายต่อไป” คำพูดที่ดูเหมือนการมีคู่ครองเป็นสิ่งที่ชั่วร้าย คงหนีไม่พ้นเพทายเจ้าพ่อรักสนุกแต่ไม่ผูกพัน เพื่อนในกลุ่มต่างส่ายหน้าให้กับความเจ้าชู้ของเขา
“งานส่วนอื่นพวกมึงก็จัดการกันเองแล้วกัน ช่วงนี้กูกำลังยุ่งๆ เหมือนกัน” ขุนพลเอ่ยปากพูดสถานการณ์ชีวิตในตอนนี้ ไม่ราบรื่นอย่างที่คิดเอาไว้ “กูมีธุระต่อไปละ”
ขุ่นพลเดินตรงมาที่รถยนต์สีดำที่จอดติดเครื่องรออยู่ด้านหน้าผับของตนเอง สายตาคมนิ่งสงบ แต่ภายในใจกลับไม่เป็นดั่งที่ตามองเห็น รถยนต์ขับเคลื่อนไปตามท้องถนน ที่รถไม่ค่อยมีมากนัก
“แวะซื้อของฝากติดมือหน่อยไหมครับ” ปราณชัยเอ่ยถาม สายตายังเหลือบมองที่กระจกด้านหลังเป็นระยะ
"ไม่จำเป็น"
“ครับ”
ประตูรั้วเหล็กใหญ่ถูกเปิดออกด้วยรีโมตอัตโนมัติ ที่ผู้เป็นเจ้าของกดสั่งการจากภายในบ้าน เมื่อรถยนต์จอดสนิทที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่สีขาว บนพื้นที่มากกว่าสิบไร่ โดยรอบถูกโอบอุ้มไปด้วยต้นไม้นานาชนิด
บ่งบอกได้ว่าเจ้าของรักสีเขียวมากแค่ไหน สายตาของขุนพลไม่ได้มองความงดงานของต้นไม้ดอกไม้ที่ขับรถผ่านแม้เพียงน้อย อาจเป็นเพราะความคุ้นชินที่อยู่กับมันมาตั้งแต่เล็กจนโต
“คุณท่านรออยู่ด้านในครับ”
“วันนี้ผมไม่อยู่ทานข้าว”
“เหมือนเคยสินะครับ…ได้ครับ” พ่อบ้านที่อายุไม่ได้น้อย เหมือนหน้าตายิ้มรับคำสั่งนั้นทันที “คุณชายเชิญทางนี้ครับ” มือผายตรงไปด้านหน้าบอกทางไปที่เรือนกระจกหลังเล็กที่อยู่ท้ายคฤหาสน์
“คุณท่านจะรับน้ำชาตอนนี้เลยไหมครับ”
“ไม่ต้อง ออกไป ห้ามให้ใครมารบกวน” ชายวัยกลางคนโบกมือไล่ กระชับผ้าสีขาวที่พาดเอาไว้ที่บ่าขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนใบหน้า “คิดว่าจะมาช้ากว่านี้ เลยยังไม่ได้เข้าไปอาบน้ำ”
เสื้อยืดสีดำกางเกงขาสั่นสีดำเข้าชุด พร้อมรองเท้าหูหนีบใส่สบายๆ “วรเวช” หรือมีชื่อเรียก “พ่อเลี้ยงวรเวช” มีชื่อเสียงในธุรกิจค้าขายและนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ
“สวัสดีครับ”
“ไงสบายดีไหม ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เจอกันเลย”
“สบายดีครับ แล้วพ่อเป็นยังไงบ้างครับ”
“อืมก็อย่างที่เห็น ว่าแต่งานเป็นยังไงบ้าง มีปัญหาอะไรไหม”
“ไม่ครับ ช่วงนี้ผมกำลังร่วมลงทุนเปิดธุรกิจใหม่กับเพื่อนๆ ถ้าพ่อว่างเดี๋ยวผมจะพาไปดูธุรกิจใหม่” ขุนพลยิ้มออกมาเล็กน้อย มองผู้ชายตรงหน้า ที่ยังดูอ่อนวัยเกินกว่าอายุ
“พ่อเชื่อว่าแกทำได้ไม่อยากไปเป็นภาระคนแก่แบบพ่ออยู่แบบนี้สบายๆ แล้วเมื่อไหร่จะกลับมาอยู่ที่บ้าน”
“พ่อก็รู้คำตอบ และเหตุผล ก็ยังจะถามอีกนะครับ”
“เฮ้ยยย..โตกันจนหมาเลียก้นไม่ถึงแล้วยังเหมือนเดิมอยู่อีก..แต่ก็เอาเถอะ ไปอยู่ข้างนอกแล้วคงชินแบบนั้น แต่อย่าลืมดูแลตัวเองให้ดี..ไม่ต้องเป็นห่วงพ่อหรอก…เอาคนของลูกกลับไปเถอะ”
วรเวชพูดพร้อมหัวเราะ ที่ลูกชายส่งสายลับของตัวเองมาไว้ในบ้าน เมื่อรู้ก็นึกขำกับสิ่งที่ขุนพลทำอยู่ไม่น้อย ถึงตัวจะอยู่ห่างไกลแต่กลับส่งคนของตัวเองมาไว้ข้างๆ คอยสอดส่องเรื่องราวต่างๆ ภายในบ้าน
“ผมทำแบบนั้นไม่ได้พ่อก็รู้ ถือเป็นคำขอร้องของผม พ่ออย่าทำอะไรคนของผมเป็นอันขาด..”
“ไม่ต้องมาขู่ให้ยาก…แล้วแต่เลย วันนี้อยู่ทานข้าวกับพ่อก่อนค่อยกลับ พี่แกกลับดึกวันนี้ ไปงานวันเกิดเพื่อน” วรเวชบอกกล่าวบุตรชายให้สบายใจได้ว่าจะไม่เจอกับพี่สาวของตนแน่นอน
“ครับ” สายตาของขุนพลมองไปรอบบริเวณที่เป็นสวนต้นไม้ แต่ก่อนสวนแห่งนี้แม่ของเขาชอบมันนัก ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ต่อให้แม่จากไปนานหลายปีแล้วก็ตาม แต่ที่แห่งนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป
“ทุกอย่างมันยังเหมือนเดิม ลูกจำต้นดอกกันเกราต้นนั้นได้ไหม ที่บอกว่ามันหอม ที่ชอบเด็ดเอาไปไว้ข้างหมอน” วรเวชชี้นิ้วไปทางต้นดอกกันเกราอายุมากกว่าสิบปี ซึ่งตอนนี้ได้เติบโตขึ้นมากว่าเมื่อก่อน
ช่วงปลายยอดถูกตัดแต่งเอาไว้ไม่ให้มีความสูงมากจนเกินไป ใบสีเขียวที่บ่งบอกว่าได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ขุนพลมองแล้วยิ้มออกมา ภาพวันวานยังคงอยู่เฉกเช่นวันนั้น มารดาของเขาได้ต้นพันธุ์มาจากเพื่อนที่เป็นคนภาคอีสาน เพราะดอกไม้ชนิดนี้พบเห็นได้ง่ายที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และจะออกดอกเบ่งบานในช่วงฤดูร้อนเพียงเท่านั้น
“ฤดูร้อนปีนี้ มันคงออกดอกเต็มต้น”
“ใช่ มันออกดอกทุกปี เอาไว้ปีนี้ พ่อจะเอาไปร้อยพวงมาลัยสวยๆ ไปให้แม่ลูกสักหลายพวงเป็นไง”
“ครับ”
“มีอารมณ์มานั่งชมสวน..” เสียงแหลมของแตงโมดังขึ้น ก่อนที่เสียงรองเท้าส้นสูงจะดังกระทบกับพื้นปูน “พ่อเรียกมันมาทำไม”
“โม…เรียกน้องดีๆ หน่อย พ่อมีเรื่องจะคุยกับน้อง ไหนบอกว่าจะไปงานวันเกิดเพื่อน”
“นี่สินะถึงเรียกมันมา ถ้าโมไม่กลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็คงไม่รู้ว่าลับหลังพ่อทำแบบนี้…” ความน้อยใจกำลังทำให้น้ำตาของแตงโมเอ่อล้นออกมาจากดวงตาสวย สายตายังคงจับจ้องไปที่ขุนพลที่นั่งนิ่งไม่ยอมสบสายตามาที่เธอ
“โม!! ลูกหัดมีเหตุผลบ้างนะ พ่อทำทุกอย่างที่ลูกขอร้อง แล้วเรื่องนี้เราก็คุยกันแล้ว อย่าทำตัวงี่เง่า เอาแต่ใจตัวเอง” วรเวชหันไปดุบุตรสาวที่กำลังทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโตตามอายุ
“ถ้าแม่อยู่พ่อไม่พูดกับหนูแบบนี้หรอก”
“เลิกเอาแม่มาเป็นข้ออ้างสักที….พ่อทนมามากพอแล้วนะ จะอะไรนักหนากับเรื่องในอดีต ไม่ใช่มีแค่ลูกที่เจ็บ ทุกคนก็เจ็บเหมือนกันหมด”
“ใช่สิ…ก็พ่อไม่เคยรักหนูเลย” แตงโมตัดพ้อออกมาทั้งน้ำตา ก่อนที่จะกระทืบเท้าเดินจากไป วรเวชทำเพียงส่ายหน้าให้กับความเอาแต่ใจของบุตรสาว ที่ถูกเลี้ยงตามใจมาตั้งแต่ยังเล็ก
“อย่าเก็บไปคิดมากเลย เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว คนที่ยังจมอยู่ในอดีต ก็จะเป็นทุกข์แบบนี้แหละ เพราะฉะนั้นเราต้องอยู่กับปัจจุบัน ให้เรื่องราวที่ผ่านมาเป็นบทเรียนในชีวิตก็เพียงพอแล้ว”