บทที่ 1
“ฉันจะถึงแล้ว เลิกโทรตามสักทีได้ไหม….โอเคๆ อยู่หน้ามอแล้ว” ฉันไม่รอให้อีกฝ่ายตอบกลับอะไรออกมา รีบเดินลงจากรถโดยสารประจำทาง ขณะที่กำลังเดินเข้ามอ จู่ๆ ก็เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ชนท้ายรถคันด้านหน้า พุ่งชนเสาไฟฟ้าหน้ามอ ฉันยืนนิ่ง เพราะทางด้านหน้าที่จะไปมันเป็นทางผ่านพอดี
แต่ใจของฉันยังคงจดจ่อกับบุคคลที่ติดอยู่ภายในรถ และไม่นาน ก็มีชายคนหนึ่งเดินลงมาจากรถคันด้านหลัง ที่เป็นต้นเหตุ เขาเดินเข้าไปเคาะกระจกข้างคนขับของรถอีกคัน ที่หน้ารถพังยับเยิน ไม่นานผู้ชายที่รับเคราะห์ก็เปิดประตูรถลงมา
ฉันที่เห็นเหตุการณ์ ชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้าย ทรุดนั่งลงตรงขอบฟุตบาททางเดินเท้าไม่ห่างจากรถมากเท่าไหร่
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ฉันเดินเข้าไปใกล้ มองเห็นเลือดที่ไหลอาบลงมาเป็นทางยาว เขาจ้องมองฉันด้วยสายตาที่เย็นชา “คุณได้รับบาดเจ็บ อย่าขยับตัวจะดีกว่าค่ะ”
“ยุ่ง” เขาพูดแค่นั้น ก่อนดันลิ้นเข้ากระพุ้งแก้ม เหมือนกำลังรำคาญฉัน
“ทำแผลที่หน้าผากก่อนดีไหมคะ” ฉันว่าแล้วก็หยิบกล่องพยาบาลขนาดเล็กที่เอาติดตัวไว้ตลอด ออกมาทำแผลให้กับเขา แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ยอมให้ฉันเข้าใกล้ “นี่นายเป็นอะไรมากไหม ฉันแค่จะทำแผลให้ เดี๋ยวกู้ภัยก็มา เลือดไหลขนาดนี้ได้ตายก่อนหรอก” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน ชายหนุ่มตรงหน้านิ่งไปเล็กน้อย
“น้องพี่ขอโทษนะครับ พอดี เบรกรถพี่ไม่ดี กำลังจะเอาไปซ่อม พี่ขอโทษจริงๆ” ผู้ชายคนที่ขับรถชนท้ายเอ่ยคำขอโทษด้วยน้ำเสียงจริงใจ ชายหนุ่มอีกคนก็เอาแต่นิ่งไม่พูดอะไร ก่อนที่เขาจะหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรออก ในขณะที่ฉันกำลังทำแผลให้
“รถชนหน้ามอ..อืม.” เขาพูดแค่นั้นก็วางสายไป ฉันทำแผลให้เขาเสร็จ มองสำรวจใบหน้าหล่อๆ นั้นอีกครั้ง ก็หล่อแต่เย็นชา แถมชอบทำหน้าดุ เป็นหมาพันธุ์ปลั๊กหรือไง ชิ
“น้องมะปราง” เสียงผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น ทำให้ฉันรีบหันไปมอง
“พี่วิ สวัสดีค่ะ”
“พี่ก็คิดว่าใคร คนเจ็บเป็นไงบ้าง”
“ดูจากอาหารเบื้องต้นไม่น่าเจ็บมาก ปรางทำแผลที่หัวให้แล้ว” ฉันหันไปพูดกับพี่วิ ที่เป็นรุ่นพี่อยู่หน่วยกู้ภัย เพราะฉันไปทำงานเป็นจิตอาสาที่หน่วยของพี่เขา
“มาดูคนเจ็บหน่อย” พี่วิตะโกนเรียกกู้ภัยอีกคน
“ปรางต้องไปก่อนนะคะ พอดีต้องไปทำกิจกรรมที่มอ ไปแล้วนะคะสวัสดีค่ะ” ฉันยกมือไหว้พี่วีอีกครั้งเมื่อมองนาฬิกาข้อมือ สายมากแล้วตายแน่ๆ ฉันต้องโดนเพื่อนบ่นยาวอีกแน่ๆ
“อ้าวไปเร็วมาเร็วจริง ๆ ผมยังไม่ได้ถามน้องปรางเลย ไม่เห็นเข้ามากู้ภัยนานเป็นเดือน”
“น้องคงยุ่ง มาทำจิตอาสากับเราได้ก็ดีเท่าไรแล้ว”
“แกมาสาย!! ” คะนิ้งพูดขึ้น เมื่อฉันเดินเข้ามาในห้องเรียนที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นห้องแต่งตัว
“ขอโทษ” ฉันเดินเข้าไปกอดแขนคะนิ้ง แล้วทำหน้าอ้อนๆ ส่งให้เธอ
“ชิ ไม่ต้องมาอ้อนเลย...วันนี้แปลกไม่ใส่แว่น เป็นยัยเฉิ่ม” คะนิ้งพูดขึ้น คราวนี้เป็นฉันที่งอนยัยเพื่อนคนนี้แทน
“หึ ก็ไม่อยากมาแหกตาใส่คอนเทลเลนส์ ที่นี่”
“ปรางรีบเลย เดี๋ยวไม่ทัน เขาเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว” เอิงเอย เพื่อนสนิทอีกคนของฉัน พูดขึ้น ฉันหันไปส่งยิ้มหวานให้กับเธอ แล้วรีบเดินไปที่ห้องน้ำ เพื่อล้างหน้า ผลั๊ก! แล้วฉันก็ชนเข้ากับใครบางคน “ขอโทษค่ะ” ฉันเอ่ยคำขอโทษออกมา ก่อนก้มลงหยิบกล่องผ้าเปียกที่หลุดมือ แต่ก็โดนปลายเท้าของอีกฝ่ายเขี่ยไปที่อื่น
“อุ๊ย!โทษทีจ๊ะ มองไม่เห็น…”
ฉันแหงนมองหญิงสาวคนเมื่อครู่ ก่อนจะรู้ว่าเป็นใคร “แอนนา คณะบริหารสาขาการจัดการ” เธอยิ้มเหยียดส่งให้ฉันแล้วเธอเดินชนไหล่ของฉันแล้วเดินออกจากห้องน้ำ เหมือนอย่างว่า ฉันไม่ชอบมีเรื่องกับใคร เมื่อครู่ฉันรู้ว่าเธอตั้งใจ แต่..เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
“มาเร็ว นั่งๆ ยัยเอยรอแกนานแล้ว” คะนิ้งพูดขึ้นพร้อมดึงแขนฉันให้เดินตามมาที่เก้าอี้ ซึ่งมีเอิงเอยนั่งรออยู่ “เริ่มเลย จะไม่ทันแล้ว”
วันนี้เป็นวันเพ็ญเดือนสิบสอง “วันลอยกระทง” เป็นประเพณีอีกอย่างของเมืองไทย และในทุกๆ ปี มหาลัยฯ ของฉันก็จะจัดงานและมันก็เป็นงานใหญ่ ที่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาเดินเที่ยวในมหาลัยฯ ได้ และวันนี้ฉันที่รับเกียรติให้เป็นตัวแทนของสาขาขึ้นประกวดนางนพมาศประจำปีนี้ ที่จริงก็มีคนสวยมากมายแต่ทำไมอาจารย์ถึงเลือกให้ฉันขึ้นประกวดก็ไม่รู้
“ทำหน้าให้มันดีๆ หน่อยเถอะ มั่นใจตัวเองซะบ้างยัยปราง แกเป็นคนสวยทะลุแว่นเข้าใจไหม” คะนิ้งพูดขึ้น เอิงเอยก็ยิ้มตาม มีคนบอกว่าฉันสวยแต่ฉันก็ไม่เคยมั่นใจตัวเอง เพื่อนสองคนของฉันก็สวยมาก คะนิ้งเป็นคนมั่นใจในตัวเองเธอแต่งตัวเก่ง ส่วนเอิงเอย เป็นคนเรียบร้อย สวยคมเธอเป็นสาวใต้
ฉันมะปราง เรียนบริหารธุรกิจ สาขาบัญชี ปี 2 ฉันเรียนเก่งมากนะ ได้อันดับหนึ่งของชั้นปีทุกเทอม ทั้งที่ครอบครัวของฉันพ่อกับแม่และพี่สาวต่างเป็นหมอกันทั้งบ้าน ฉันแหวกแนว ชอบตัวเลข จึงตัดสินใจเรียนบัญชี ทุกคนอาจว่าฉันแปลก แต่มันก็แปลกนั่นแหละ แต่ทำไงได้คนมันชอบ แค่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบฉันก็มีความสุขแล้ว
“โอ้แม่เจ้า!! สวยมากอ่ะ ขอฉันถ่ายรูปหน่อย” คะนิ้งไม่พูดเปล่าเธอหยิบไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดขึ้นมาถ่ายภาพของฉัน ภาพรูปคู่ และรูปรวมเราสามคนเอาไว้ “ฉันแท็กพวกแกสองคนไปแล้วนะ”
“ปราง ได้เวลาแล้วอ่ะ เดี๋ยวฉันเก็บของก่อน นิ้งพาปรางลงไปเตรียมตัวขึ้นประกวดเลย เก็บของเสร็จฉันตามไป” เอิงเอยพูดขึ้น เธอเก็บเครื่องมือแต่งหน้าที่ขนมาจากห้อง ดูแล้วก็สงสาร “ไปเถอะ ฉันรู้ว่าแกคิดอะไร ฉันเก็บของไม่นาน ไม่ลำบากเลยสักนิด”
“ขอบใจมากนะเอย นิ้งด้วย” เราสามคนกอดกันกลมเหมือนลูกหมูสามตัว ก่อนที่ฉันจะเดินลงมาด้านล่าง ตรงมาหลังเวที เพื่อมาเตรียมความพร้อมรอเวลาขึ้นประกวด