**บทที่ 6**
@ 6 เดือนผ่านไป
“เป็นไงคะ คุณสมายด์ คนเก่ง นักธุรกิจหญิงอายุน้อยร้อยล้าน” ข้าวสวยพูดด้วยน้ำเสียงดัดจริต ส่งมาให้ฉันที่หย่อนก้นนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” ฉันถอนหายใจออกมาก่อนโน้มตัวลงบนโต๊ะอาหารในร้านอาหารแห่งหนึ่ง
“เฮ้ย ไม่ได้นะ ลุกขึ้นมา คนมองหมดแล้ว ร้านอาหารสุดหรู ของฉันเสียบรรยากาศหมดเลย” เตยหอมพูดขึ้น ก่อนที่จะเดินมาหาฉัน แล้วดึงร่างกายที่เหนื่อยขึ้นจากโต๊ะ “ไหวไหม ไม่น่านัดแกออกมาเลย พวกฉันรู้ว่าแกยุ่ง แต่ก็ต้องพักบ้างไหม เห็นแล้วก็อดเวทนาไม่ได้จริงๆ”
“ใช้คำว่าน่าเวทนาเลยหรอ ต้องใช้คำว่าสตองสิถึงจะถูก”
“สตองบ้านป้าแกสิ สตองจนตัวเองจะตายแล้วเนี่ย” ข้าวสวยพูดพร้อมยื่นแก้วน้ำส้มคั้นมาให้ ฉันรับมันมาดื่มไปอึกหนึ่ง ก็รู้สึกสดชื่นดี “ขอบใจพวกแกสองคนนะ ว่าแต่นัดออกมามีอะไร” ฉันมองหน้าเพื่อนสองคนอย่างสงสัย ช่วงนี้ เราสามคนไม่ค่อยได้เจอกัน เพราะข้าวสวยและเตยหอมต่างมีแฟนกันไปแล้ว สาวโสดสนิทแบบฉัน ก็ต้องโหมงานหนักรักษาแผลใจตัวเองต่อไป
“ฉันท้อง” เตยหอมพูดขึ้น เธอก้มหน้าเขินอายเล็กน้อย ฉันเบิกตากว้างเท่าไข่ห่าน ด้วยความตกใจปนดีใจ
“จริงดิ” ฉันหันหน้าไปถามข้าวสวย เธอพยักหน้าเป็นการยืนยัน “ฉันดีใจด้วยนะแก ฉันจะมีหลานแล้ว” ฉันดีใจออกนอกหน้า กว่าคนเป็นแม่ ก่อนที่ข้าวสวยจะเอามือขึ้นจุ๊ปาก เมื่อเสียงของฉันรบกวนลูกค้าคนอื่น
“เบาหน่อยแก คนมองหมดแล้ว”
“ว่าแต่แกเถอะ เมื่อไหร่จะเปิดใจสักที”
“ไม่อ่ะ อยู่แบบนี้อ่ะดีแล้ว เป็นโสดก็ไม่เห็นตาย แต่ถ้าโดดหักอกอีก ฉันตายแน่ๆ”
“แผลใจของแก ยังไม่หายอีกหรอ” ข้าวสวยถามขึ้น ทั้งสองคนจ้องมองฉันเป็นตาเดียว “เป็นฉันสามวันหาผัวใหม่ ไม่ง้อหรอก ผู้ชายแบบนั้น อย่างแกหาได้เป็นร้อยผัว ไม่เห็นต้องแคร์”
“ร้อยเลยหรอ มากไปไหม” เตยหอมพูดขึ้น ก่อนที่ฉันจะหัวเราะออกมา กับท่าทางซื่อๆ ของเธอ
“สวยมันแค่ล้อเล่น แกก็คิดมาก”
“เอ้าหรอ ฉันก็คิดเป็นจริง แค่ผัวเดียวก็ไม่ได้นอนแล้วนะคืนหนึ่งอ่ะ” เตยหอมพูดปนหัวเราะเสียงใส
“จะมาอวดผัวให้เพื่อนฟังว่างั้น เห็นใจคนอกหักอย่างมันหน่อยเถอะ”
“พอๆ พอทั้งคู่เลย ฉันหิวแล้ว กินข้าวเถอะ วันนี้ต้องไปงานต่อ” ฉันหันหน้าเข้าหาเมนูอาหาร ก่อนที่เราจะนั่งทานข้าวไปคุยกันไปอยู่นานนับสองชั่วโมง แล้วแยกย้ายกันกลับ นับจากวันนั้นที่ฉันได้ตัดสินใจเด็ดขาด ที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่คนเดียวบนโลกใบนี้
มันลำบากมากจนความท้อที่มี กลายเป็นความอ่อนแอ ไม่มีใครอยู่ให้กำลังใจเหมือนอย่างเคย แต่เพื่อนสองคนที่คอยแวะเวียนเข้ามาหา ไม่เคยหายไปไหน บางครั้งฉันก็คิดนะ การมีชีวิตอยู่มันลำบากสู้ตายๆ ไปคงดีเสียกว่า เมื่อได้มองดูสิ่งที่พ่อกับแม่สร้างมา ต้องมาจบลงเพราะมีลูกแย่ๆ อย่างฉัน แล้วจะเอาหน้าที่ไหนไปสู้หน้าพวกท่านได้ถ้าตายไป
ฉันมองมานาฬิกาข้อมือเรือนหรู บ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง สองเท้ารีบก้าวลงจากรถเดินตรงเข้ามายัง ด้านในของโรงแรมแห่งหนึ่ง
“ไม่ทราบห้องจัดเลี้ยงสามต้องไปทางไหนคะ”
“ขึ้นลิฟต์ไปกดชั้นสาม ออกประตูไปอยู่ทางขวามือค่ะ” สิ้นเสียงพนักงานหญิง ฉันกล่าวขอบคุณแล้วเดินตรงไปที่ลิฟต์ ทำตามคำแนะนำของพนักงาน ในมือถือดอกไม้ช่อใหญ่ เพื่อมาแสดงความยินดีกับคุณหญิงอริสา เจ้าของสมาคมคนใหม่ ที่แม่ของฉันเคยร่วมก่อตั้งด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น จุดประสงค์ที่ฉันมาที่นี่ก็เพื่อมาบอกลาวงการนี่ พร้อมบริจาคเงินช่วยเหลือตามที่แม่เคยทำ ฉันไม่ต้องการสวมหน้ากากเข้าสังคมกับคุณหญิงคุณนายเหล่านี้ แค่งานที่ต้องทำมันก็มีมากแล้วจะให้มานั่งพูดคุยเล่นกันไปวันๆ ฉันคงทำไม่ได้และก็ไม่อยากทำ
“หนูสมายด์” คุณหญิงอริสายิ้มพร้อมเดินเข้ามาทักทาย
“สวัสดีค่ะ” ฉันกล่าวคำทักทายพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน หลายครั้งที่แม่พาฉันมาออกงานสังคม พอจะรู้จักคุณหญิงคุณนายในงานนี้ไม่น้อย “ดีใจด้วยนะคะ มายด์มาแสดงความยินดีด้วยค่ะ” ดอกไม้ช่อใหญ่ถูกยื่นออกไปด้านหน้า
“ขอบใจมากนะหนูสมายด์ ตั้งแต่ที่แม่หนู..เอ่อ ก็นั่นแหละ น้าก็คิดถึง ไม่คิดว่าหนูจะมาด้วยวันนี้” สายตาของคุณหญิงอริสา จ้องมองไปอีกทาง ฉันจึงหันมองไปตามสายตาของท่าน “คุณหญิงประภาพรก็มาด้วย ลูกสาวก็มา นัดกันมาทั้งครอบครัวแบบนี้ น้าดีใจจริงๆ นะคะ” ท่านป้องมือขึ้นมาปิดปากหัวเราะเล็กน้อย
ฉันก็พอจะเดาเหตุการณ์ตอนนี้ออก ว่าท่านหมายถึงอะไร แต่ก่อนอื่นฉันคงต้องแก้ข่าวก่อน
“ไม่ได้มาด้วยกันค่ะ ที่จริงหนูก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับคุณหญิงประภาพรหรอกค่ะ เราสิ้นสุดความสัมพันธ์อันดี มาจะครึ่งปีแล้วค่ะ”
“ตายจริง น้าไม่รู้มาก่อนเลย เห็นคุณภาพูดว่าตัวเองก็ยังคงนั่งบริหารงานบริษัทอยู่นะคะ เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่จ้ะ”
“เดี๋ยวฉันจะอธิบายให้คุณสาฟังเองค่ะ” แม่เลี้ยงที่เป็นอดีต เหมือนเจ้ากรรมนายเวรของฉันเดินเข้ามาหาเราทั้งสองคน ฉันนี้ต้องกลอกตามองบนด้วยความเบื่อหน่าย กับน้ำเสียงที่เหมือนจะฟังดูดี แต่ไม่ใช่ “ก่อนอื่นต้องขอบคุณ ลูกสาวคนโตของสามีฉัน ที่ให้เราสองแม่ลูกย้ายออกมาอยู่ข้างนอก”
คุณหญิงอริสา เอามือขึ้นป้องปากพร้อมดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
“ตายจริง!! ทำไมละคะ”
“เพราะหนูไม่ต้องการ ใคร อยากอยู่คนเดียว แล้วยิ่งมีพวกจ้องแต่จะกอบโกยเอาผลประโยชน์ จากสมบัติของพ่อแม่ฉันที่สร้างขึ้นมา หนูก็ต้องไม่ยอมอยู่แล้วค่ะ” ฉันตอบออกมาก่อนที่อดีตแม่เลี้ยงจะได้พูดต่อ
“มีพวกแบบนี้ด้วยหรือคะ”
“ใช่ค่ะ” ฉันตอบพร้อมยิ้ม “หนูต้องขอตัวก่อนนะคะ วันนี้หนูมาแสดงความยินดี พร้อมร่วมบริจาคเงิน ต่อไปนี้ หนูคงไม่ได้มาบ่อยๆ แต่ถ้ามีอะไรพอที่จะช่วยเหลือได้ คุณน้าติดต่อมาหาหนูได้ตลอดเลยนะคะ”
“ได้จ้ะ ขอบใจมากจริงๆ เลยนะจ๊ะ มีอะไรก็ติดต่อน้ามาได้ตลอดเลยนะหนูมายด์ ถือว่าน้าเป็นแม่อีกคนแล้วกันจ้ะ”
“ขอบคุณมากค่ะ” ฉันยกมือไว้ท่านอีกครั้ง ก่อนขอตัวออกมาจากงาน ครั้งแรกก็ตั้งใจว่าจะอยู่ในงานนานหน่อย แต่พอได้เจอสองแม่ลูกนี้แล้ว ฉันก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ไม่อยากแม้แต่จะสูญเอาอากาศในห้องเดียวกันเข้าปอด
เมื่อหกเดือนก่อนที่ฉันได้เข้าไปทำหน้าที่นั่งบริหารงานแทนพ่อที่เสียไป ได้พบเข้ากับการยักยอกเงินเป็นจำนวนมาก ฉันนี้ต้องล้มแทบยืน ถ้ามาช้ากว่านี้บริษัทของพ่อคงได้ล้มละลายในไม่ช้าก็เร็ว คนที่โกงกินคงไม่ต้องบอกว่าเป็นใคร ก็อดีตเมียน้อยของพ่อ พร้อมกับน้องต่างแม่ของฉันเอง
เกิดเรื่องขึ้นมากมาย สุดท้าย แม่เลี้ยงของฉันได้จ้างทนายมาไกล่เกลี่ยยอมความ ฉันจึงยื่นคำขาดว่าหุ้นในบริษัทฯ พวกเขาสองแม่ลูกจะไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น ส่วนเงินที่ได้ไป ฉันก็ถือว่าทำบุญ ตัดขาดกันเพียงเท่านี้
ถึงแม้ทนายความของฉันไม่อยากให้ยอมความแบบนี้ แต่สำหรับฉันถือว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียว ที่จะได้เอาปลิงออกไปจากชีวิต ถึงจะเสียดายเงินที่เขาโกงไปอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้แบ่งหุ้นบริษัทฯของพ่อให้กับใคร
“จะกลับแล้วหรอ” เสียงที่ต่อให้อยู่อีกซีกโลกก็จำได้ว่าเป็นเสียงของใคร ดังขึ้นมาจากด้านหลัง ฉันยืนนิ่งอยู่กับที่ ก่อนที่หนูดีจะเดินเข้ามาดักหน้า มาดหญิงสาวอ่อนหวาน บัดนี้ได้กลับเปลี่ยนเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวเปรี้ยว ยิ่งกว่ามะนาวสิบลูกซะอีก
“.....” ฉันไม่ได้พูดอะไรออกไป ได้แต่จ้องหน้าของเธอตอบ จ้องมาจ้องกลับไม่โกงค่ะ!! เอาสิ ฉันพร้อมตบ!!
“เก่งเนอะ แม่เศรษฐีร้อยล้าน” น้ำเสียงประชดประชัน ของเธอทำให้ฉันอยากเอารองเท้าฟาดหน้า ที่มีแต่โบท็อกนั้นให้มันเป็นรอยสักครั้ง “มองหน้าแบบนี้…”
“ถอย!!” ฉันพูดเสียงลอดไรฟัน เมื่อเธอเดินเข้ามาประชิดด้านหน้า เวลาไม่อยากจะมีเรื่องให้เสียอารมณ์ มาเจอสองแม่ลูกที่งานนี้ก็ถือว่าวันนี้ดวงตกมากแล้ว
“ทำไม คิดว่าไล่ฉันกับแม่ออกจากบ้านแล้ว แกจะสบายใจได้หรือไง อย่าลืมว่าฉันก็ลูกพ่ออีกคน!!”
“แล้วไง”
“ยังไงฉันก็มีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของพ่อ ถึงแกจะไม่ให้อะไรกับฉันเลย แต่ส่วนของพ่อฉันต้องได้!! จะบอกให้เอาบุญฉันกับแม่ไม่หยุดอยู่แค่นี้หรอก จะจองเวรจองกรรม แกจนตายกันไปข้างหนึ่งเลยล่ะ อีกอย่างนะ ตอนนี้แม่กับฉันและแฟนของฉัน” หนูดีเน้นย้ำถึงคนรักเก่าของฉัน ที่ตอนนี้กลายมาเป็นสามีของเธอเป็นที่เรียบร้อย “ฉันเปิดบริษัทฯ ฉันจะแย่งทุกอย่างจากแกมาเป็นของฉัน เหมือนกับตอนเด็กไง”
“แปลกเนอะ หน้าด้านอยากได้ของที่ไม่ใช่ของตัวเอง โลภมากมักได้กินแห้วนะจ๊ะ” ฉันพูดพร้อมยิ้มมุมปาก ด้วยความสมเพชเวทนากับผีอยากได้ส่วนบุญแบบเธอ
“ก็มาดูกัน ใครจะแน่กว่าใคร”
เธอยิ้มเหยียดฉันแล้วเดินจากไป อยากถอดรองเท้าแล้วปาตามหลังไปจริงๆ ถ้าทางหยิ่งผยองพองขนเหมือนลูกแมว ไม่สิ!! ต้องบอกว่าเหมือนตัวเม่นมากกว่า จะให้เปรียบเทียบกับสัตว์ชนิดใดมันก็น่ารักเกินไป
“วันนี้มันวันซวยอะไรกันวะ” ฉันอุทานออกมา