ตอนที่ 9 ไปเที่ยวกับราชครู
จื่อรุ่ยถึงกับตาสว่างและหายง่วงเมื่อราชครูจินเอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้นมา แม้ว่าเขาจะพยายามปรับน้ำเสียงให้นิ่งแต่อาการมือที่สั่นนั้นกลับปิดไม่มิด
“คุณชาย ท่านสนใจเรื่องนี้ด้วยหรือขอรับ”
“ข้าก็แค่อยากรู้ว่าสาเหตุการตายที่แท้จริงของอดีตคู่หมั้นของท่านหญิงเกิดจากโรคภัยหรือว่าสิ่งใดกันแน่ อีกอย่างมีบุรุษหมั้นหมายถึงสามครั้งแต่กลับมิได้แต่งงานด้วยเหตุผลใกล้เคียงกันเจ้าไม่คิดว่ามันน่าสงสัยหรอกหรือ”
“พวกเขามิได้น่าสงสัยหรอกขอรับ ท่านต่างหากที่น่าสงสัย”
“อะไรนะ เจ้าพึมพำอะไร”
“เปล่าขอรับ คู่หมั้นคนแรกของท่านหญิงเป็นกองหน้ารักษาชายแดนใต้ เขาตายเพราะถูกข้าศึกฆ่าระหว่างออกรบ คนต่อมาเห็นว่าถูกสตรีที่เขาไปทำร้ายจิตใจเอาไว้วางยาพิษในสุราหลังจากที่เขาไปนัดดื่มเพื่อบอกลานาง ส่วนคนสุดท้ายเห็นว่ารักสตรีอื่นอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วและอีกฝ่ายกำลังตั้งครรภ์เขาเลยพานางหนีเพราะเกรงกลัวความผิด”
“เช่นนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวกับนางเลย โชคร้ายอะไรกันข่าวลือเหล่านั้นช่างเหลวไหลยิ่งนัก นางก็แค่โชคร้ายเท่านั้นเอง ใช่แล้ว”
จื่อรุ่ยจับน้ำเสียงที่ระคนความดีใจได้เล็กน้อยซึ่งเขาไม่เคยเห็นจินอวี้หานใช้มาก่อน แต่เมื่อราชครูหันมามองหน้าจื่อรุ่ยก็รีบปรับสีหน้าและรีบรายงานต่อในทันที
“ข่าวลือที่ถูกกระพือออกไปเห็นว่าเป็นเหล่าสตรีในเมืองหยุนหนานที่เป็นคนปล่อย ท่านหญิงเป็นบุตรีคนเดียวของท่านอ๋องแน่นอนว่าย่อมมีสตรีหลายคนริษยา ดังนั้นข่าวเรื่องไฟไหม้เรือนพักของนางจึงเป็นชนวนเหตุสุดท้ายให้คนร่ำลือเรื่องนี้ ท่านอ๋องอยากให้นางได้พักผ่อนจากคำวิจารณ์นี้จึงได้ขอความช่วยเหลือมาทางฝ่าบาทขอรับ”
“เหตุใดข้าจึงไม่ทราบมาก่อนหน้านี้เล่า”
“คุณชาย ก็ท่านไม่เคยสนใจนางมาก่อน ท่านบอกเพียงว่าทำตามรับสั่งฮ่องเต้ให้จบสามเดือนแล้วส่งนางที่… น่ารำคาญกลับไปหยุนหนาน”
จินอวี้หานชะงักลงไป เขาจำได้แล้วว่าเคยพูดเช่นนั้นจริง ๆ ซึ่งเดิมทีเขาไม่ชอบเรื่องเช่นนี้อยู่แล้ว แต่เพราะนางเป็นพระราชนัดดาที่ฝ่าบาททรงรักและเอ็นดูจึงส่งเขาซึ่งเป็นที่ปรึกษาและคนสนิทของพระองค์ให้มาดูแลนาง แม้ว่าจะไม่เต็มใจรับแต่ก็ขัดพระบัญชาไม่ได้ ดังนั้นเรื่องของนางเขาจึงแทบไม่สนใจเลย
“ข้าจะนอนแล้ว”
“ขอรับ”
“ข้ารับปากท่านหญิงไว้ว่าหากนางทำตัวดี ๆ จะพานางออกไปเดินเล่นในเมืองสักหน่อย”
“เดินเล่นหรือขอรับ!”
จินอวี้หานหันไปมองจื่อรุ่ยที่ทำท่าตกใจราวกับถูกเขาสั่งโบย
“เจ้าข้องใจอันใด ข้าพูดอะไรผิดไปงั้นหรือ”
“เปล่าขอรับ ท่าน… ไม่ได้พูดอะไรผิดแต่ว่า คุณชายท่านน่ะหรือที่จะไป…เดินเล่น”
“เจ้าเห็นข้าเป็นหลวงจีนไปแล้วหรืออย่างไร ข้าเองก็เป็นคนไปกินไปดื่มและเดินเที่ยวได้เหมือนคนทั่วไป เจ้าคอยดูนางข้าหลวงผู้นั้นให้ดีข้าไม่อยากให้นางไปเป็นตัวเกะกะ หากว่าเลี่ยงไม่ได้ข้าก็จะสั่งให้นางไปทำอย่างอื่น”
“ขอรับ”
สิบวันถัดมา
สิบวันมานี้หงหลินซินตั้งใจทำพิธีและสวดมนต์ครบตามเวลาโดยมิได้อิดออดจนท่านโหรหลวงเอ่ยปากชม เมื่อพิธีกรรมช่วงเช้าเสร็จหมดแล้วนางจึงเดินออกมาพบราชครูจินที่ยืนรออยู่ข้างนอกพร้อมกับรอยยิ้มที่อารมณ์ดี
“จินอวี้หานท่านมารอข้าเช่นนี้หรือว่าวันนี้...”
“ท่านหญิง! นี่ก็สายแล้ว ไปกินข้าวก่อนเถอะขอรับ”
จินอวี้หานส่งสัญญาณสายตาให้นางก่อนจะพูดอะไรเพิ่มเพราะเห็นว่าซานหวนชิงยืนฟังอยู่ หงหลินซินจึงรู้ทันทีว่าเขาไม่อยากให้นางข้าหลวงผู้นี้ฟังพวกเขาคุยกัน แม้ว่านางข้าหลวงซานจะถูกสั่งมิให้เข้าเรือนด้านใน แต่นางก็มักจะปรากฏตัวอยู่ทุกที่จนน่ารำคาญ
“อ้อ ได้สิข้าเองก็รู้สึกหิวมากเลยล่ะ”
“เชิญขอรับ"
หลินซินเดินตามราชครูจินไป ซานหวนชิงจะเดินตามไปแต่เมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปในเรือนองครักษ์หน้าประตูก็ยกดาบขึ้นมาขวางทันที
“ตรงนี้ท่านเข้าไม่ได้”
หวนชิงได้เพียงแค่ส่งสายตาโมโหไปให้ทหารหน้าประตูและเดินโมโหออกไปทันที เมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปด้านใจแล้ว หลินซินที่เริ่มตื่นเต้นก็หันมาถามอวี้หานทันที
“ราชครูจินท่านมารอข้าเช่นนี้วันนี้จะพาข้าออกไปเที่ยวใช่หรือไม่”
“ท่านหญิงตั้งใจทำพิธี ดังนั้นข้าน้อยคิดว่าควรจะให้รางวัลกับท่านเล็กน้อย ว่าแต่ท่านอยากจะไปไหน”
“ข้าเบื่ออาหารเจที่วัดนี้เต็มทีแล้ว ท่านจะพาข้าออกไปกินอย่างอื่นได้หรือไม่”
“ท่านอยากกินอะไร”
“อืม ไม่รู้สิข้าเองก็ไม่รู้ว่าเมืองหลวงมีอะไรน่ากินบ้าง แต่ข้าอยากลองทั้งหมดเลย เราออกไปกินข้างนอกได้หรือไม่"
“ย่อมได้ แต่ข้ามีข้อแม้”
“อะไรหรือ”
“ท่านต้องสวมผ้าปิดหน้าเอาไว้เวลาออกไปข้างนอก”
“ไม่มีปัญหา ข้าเองก็ไม่ชอบเปิดเผยใบหน้านักหรอก”
“อีกอย่าง”
“ว่าอย่างไร”
“เราต้องเอาม้าไปและออกเส้นทางด้านหลัง ท่านยังอยากไปอยู่หรือไม่”
“ท่านหมายถึง ท่านจะแบกข้าออกไปอีกหรือ”
“ไม่ใช่เช่นนั้นครั้งนี้ข้าไม่ต้องแบกท่าน ก็แค่… อาจจะต้องขี่ม้าตัวเดียวกันลงไปท่านจะ…”
“ได้สิไม่มีปัญหา ครั้งก่อนข้าก็ขี่ม้าตัวเดียวกับท่านมาแล้วนี่ รีบไปเถอะข้าตื่นเต้นมากเลย”
“เช่นนั้นเชิญท่านหญิงทางนี้”
พวกเขาเดินออกทางประตูด้านหลังซึ่งเป็นเขตต้องห้ามของนางข้าหลวงอย่างซานหวนชิง เมื่อพวกเขาเดินออกมาได้ก็พบกับจื่อรุ่ยที่เตรียมม้าเอาไว้ให้
“เอ๊ะ แล้วนี่…”
“จื่อรุ่ยต้องอยู่ที่นี่เพื่อมิให้นางข้าหลวงผู้นั้นสงสัย สาวใช้ของท่านก็เช่นกัน ท่านมีปัญหาหรือไม่ที่เราจะต้อง...”
“เช่นนั้นหมายความว่า ข้าไปกับท่านสองคนงั้นหรือ”
“ใช่ ท่านยังอยากไปอยู่หรือไม่ หากว่าท่านเปลี่ยนใจในตอนนี้ข้าจะได้ให้จื่อรุ่ยเอาม้าไปเก็บแล้วเราก็กลับไปกินอาหารเจที่ท่านเบื่อนั่นอีกครั้ง”
เมื่อเขาพูดเรื่องอาหารขึ้นมานางก็ตัดสินใจได้ในทันที เรื่องอะไรจะทิ้งโอกาสดีงามเช่นนี้ แม้ว่าจะออกไปกับเขาเพียงสองคนก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่แย่เพราะถึงอย่างไรจินอวี้หานก็ปกป้องนางได้อยู่แล้ว และยังดีกว่าที่จะไปหลายคนให้นางข้าหลวงของฮองเฮาสงสัยอีกด้วย
“รีบไปกันเถอะข้าเริ่มหิวแล้ว หากว่าข้าหิวมากกว่านี้ข้าคงกระโดดกัดหูท่านกินก่อนแน่ ๆ”
“หึ เช่นนั้นก็ล่วงเกินแล้ว”
เขาอุ้มนางขึ้นหลังม้าโดยง่ายก่อนจะรีบขึ้นตามมาและเริ่มควบม้าออกจากบริเวณหลังเขามุ่งหน้าลงเขาไปตามเส้นทางที่เป็นเส้นทางหาฟืนของพวกชาวบ้าน
“ให้ตายสิทิวทัศน์หลังเขานี้ก็งดงามมาก ๆ เลยเหตุใดข้าจึงไม่เคยเห็นมาก่อนนะ”
“เอาไว้ก่อนกลับเข้าอารามข้าจะพาท่านแวะก็แล้วกัน ยามอาทิตย์อัสดงแสงจะงดงามมากกว่านี้ท่านคงจะชอบ”
“จริงหรือ ท่านสัญญา… แล้วนะ”
นางเผลอหันไป แม้ว่าจะสวมผ้าปิดหน้าครึ่งหนึ่งแต่ริมฝีปากก็เกือบจะชนเข้ากับใบหน้าของจินอวี้หานที่อยู่ด้านหลัง เขาผ่อนฝีเท้าม้าลงอีกหน่อยเพราะตกใจเมื่อนางหันมา หัวใจของเขาเต้นรัวไม่ต่างกับนาง
“ท่านหญิง…”
นางเองก็ราวกับตกอยู่ในภวังค์ก่อนจะค่อย ๆ กะพริบตาถี่ ๆ เพื่อมองเขาชัด ๆ หัวใจนางเต้นรัวถี่จนกลัวว่าเขาจะได้ยิน ใบหน้าที่ได้รูป จมูกที่คมของจินอวี้หานอยู่ใกล้แค่ลมหายใจกั้นและตอนนี้เขาก็ค่อย ๆ โน้มตัวลงมาหานางใกล้ ๆ
“ท่านหญิง ท่านอย่าดิ้นมากเพราะม้าอาจจะตกใจได้”
“ข้า!! ข้าไม่ได้ดิ้นสักหน่อยข้าก็แค่…ว้าย!!”
นางตกใจเมื่อม้าของเขาน่าจะเดินตกหลุมหรือเดินผิดเส้นทางจนเผลอคว้ารอบคอของเขา ผ้าปิดปากตกลงไปพร้อมกับเสียงหัวใจของราชครูหนุ่มที่ได้ยินชัดเจนว่าหัวใจของเขาก็เต้นแรงพอ ๆ กับนาง ไม่นานเขาก็หันมากระซิบอีกครั้ง
“เหมือนว่าข้าจะเตือนท่านแล้วว่าอย่าดิ้นเพราะหวังจื่ออาจจะตกใจได้แต่ดูแล้วท่านน่าจะตกใจง่ายกว่าเจ้าหวังจื่อนี่อีกนะ…หงหลินซิน”