ตอนที่ 1 ท่านหญิงอับโชค
เมืองหลวงแคว้นชิงโจว
“นั่นอย่างไรขบวนรถม้าของ “ท่านหญิงหง” ท่านหญิงอับโชคเมืองหยุนหนานที่พึ่งถูกหงชิงอ๋องส่งเข้ามาชำระล้างโชคร้ายที่อารามหย่งอัน"
“ตายจริง เห็นว่าคู่หมั้นที่จะหมั้นหมายของนางสองคนจู่ ๆ ก็ตายอย่างไร้เหตุผล คนที่สามเกรงว่าจะอับโชคเลยชิงแต่งงานกับสตรีอื่นสุดท้ายถูกนางจับได้จึงได้พากันหนี”
เสียงซุบซิบของเหล่าชาวบ้านยังคงดังแว่วเข้ามาในรถม้าของสตรีสูงศักดิ์ นับตั้งแต่เข้าประตูเมืองหลวงมาก็ไม่พ้นคำนินทาเหล่านี้ซึ่งเป็นเรื่องจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง
“เฮ้อ อันปากคนไม่ว่าจะอยู่หนใดเรื่องของผู้อื่นย่อมน่าสนใจเสมอเลยสินะ”
“คุณหนูท่านไม่โกรธพวกเขาหรือเจ้าคะ ข้าฟังแล้วยังรู้สึกโกรธแทนท่านเลย”
“เจ้าจะโกรธไปทำไมกันในเมื่อเราต่างก็รู้ดีว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร อีกอย่าง… ในที่สุดข้าก็ได้มาเมืองหลวงจริง ๆ เสียที”
“คุณหนู เบาหน่อยเจ้าค่ะท่านอย่าลืมสิเจ้าคะว่าท่านป่วยอยู่”
“จริงด้วย ๆ แคก แคก”
รถม้าผ่านเข้าเมืองมาแล้วจนถึงด้านหน้า "อารามหย่งอัน" ซึ่งเป็นที่ที่นางต้องมาพักอยู่ประมาณสี่เดือนนับจากนี้
“คุณหนู อารามอยู่ข้างหน้าแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นรีบเอาผ้าผูกหน้ามาให้ข้าเร็ว ๆ เข้า”
“เจ้าค่ะ”
เมื่อรถม้าของนางจอดก็พบว่ามีคนของราชสำนักที่ส่งมาเพื่อต้อนรับนางอยู่สองสามคนพร้อมกับทหารอารักขาเกือบยี่สิบนาย อย่างไรเสียนางก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพระราชนัดดาของฝ่าบาทเพราะบิดาของนางคือท่านอ๋องหงเจวี๋ย ซึ่งเป็นพระอนุชาของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
“ยินดีต้อนรับท่านหญิงหง”
เมื่อขุนนางในชุดเต็มยศยืนรอต้อนรับอยู่ตรงหน้าพร้อมกับกล่าวคำต้อนรับแต่ในรถม้ากลับเงียบกริบจนทุกคนล้วนแปลกใจจึงได้หันมาพูดคุยกันอีกครั้ง
“ใต้เท้าเจิ้ง นี่มันยังไงกันละนี่หรือว่าคันนี้จะไม่ใช่”
“แต่ข้าว่าใช่นะเพราะตราประจำพระองค์ของท่านอ๋องอยู่ด้านหน้ารถม้านี่”
ขุนนางหนุ่มรูปงามในชุดสีน้ำเงินเข้มแบบเต็มยศ เดินก้าวออกมาพร้อมกับเดินไปตรงหน้ารถม้าอีกครั้ง
“ข้าน้อย “จินอวี้หาน” รับราชโองการฝ่าบาทให้มารอต้อนรับท่านหญิงหงขอรับ”
ประตูรถม้าเปิดออกมาหลังจากที่ “จินอวี้หาน”พูดจบ สตรีที่เดินออกมาเป็นสาวใช้พร้อมกับเปิดประตูรอให้สตรีในชุดสีม่วงอ่อนพร้อมกับสวมผ้าปิดใบหน้าเหลือเพียงดวงตามองออกมายังขุนนางทั้งสามคนที่กำลังยืนต้อนรับอยู่
“เนี่ยถงเจ้าดูสิ ข้าเป็นถึงท่านหญิงแต่ว่าฝ่าบาทกลับส่งขุนนางมารับเพียงแค่สามคน เห็นทีข่าวที่ว่าข้าเป็นสตรีอับโชคคงจะลุกลามเข้าไปถึงวังหลวงกระมัง”
“คุณหนู เบาเสียงหน่อยเจ้าค่ะ”
“หงหลินซิน” หันไปกระซิบกับสาวใช้ข้างกาย เมื่อนางเดินลงมาจึงได้รีบสั่งให้ขุนนางและคณะต้อนรับทั้งหมดเงยหน้าขึ้น
“ทุกท่านตามสบายเถอะไม่ต้องมากพิธี”
เมื่อขุนนางหนุ่มตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมามอง “หงหลินซิน” ก็ต้องตกตะลึงในความหล่อคมคาย ใบหน้าที่หมดจดจมูกคมดุจพญาอินทรี คิ้วดุจหมึกและสายตาพิฆาตนารีตรงหน้าทำเอานางเริ่มใจสั่นระรัวขึ้นมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
“ท่านหญิง!!”
“เนี่ยถง” สาวใช้รีบเข้ามาพยุงนางในทันทีเพราะหลินซินที่ยืนไม่อยู่เมื่อเห็นหน้าของราชครูหนุ่มตรงหน้าแต่เขาเพียงแค่มองนางนิ่ง ๆ เพียงสงสัยว่านางอาจจะเดินทางนานจนไม่สบายเพราะข่าวที่เขาได้รับรายงานมา ท่านหญิงหงผู้นี้ค่อนข้างอ่อนแอ ขี้โรคและยังอับโชคจึงต้องเดินทางมาทำพิธีขับไล่โชคร้ายที่อารามหย่งอัน
“ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นไร”
“ท่านหญิงคงจะเดินทางนาน ใยพวกเจ้ายังไม่รีบไปเตรียมน้ำให้ท่านหญิงอาบกันอีก”
“เจ้าค่ะท่านราชครู”
สาวใช้สี่คนที่ตามเหล่าขุนนางมารีบร้อนวิ่งเข้าไปด้านในก่อนที่ขุนนางที่เหลือจะหันมามองหน้าท่านหญิงอีกครั้ง แม้ว่าจะมีผ้าขาวผูกใบหน้าครึ่งหนึ่งเอาไว้แต่พวกเขาก็พอจะรู้ว่าท่านหญิงหงผู้นี้คงจะรูปงามอยู่ไม่น้อย
“ขอบคุณทุกท่านที่มาต้อนรับ ที่จริงไม่จำเป็นต้องลำบากถึงเพียงนี้ ข้ามาที่นี่ก็เพียงแค่… รักษาอาการป่วยเท่านั้น”
“ข้าน้อยรับบัญชาฝ่าบาทให้มาดูแลองค์หญิงและอยู่ร่วมพิธีกรรมกับโหรหลวงตลอดช่วงสามเดือนนี้”
“ท่านหรือ ท่านคือ…”
“ขอแนะนำตัวอีกครั้ง ข้าน้อยจินอวี้หานเป็นราชครูและที่ปรึกษาส่วนพระองค์ของฝ่าบาท ส่วนอีกสองท่านคือใต้เท้าเจิ้งซางกรมพิธีการ ดูแลเรื่องการจัดพิธีขับไล่ความชั่วร้ายและที่พักให้ท่านหญิง อีกท่านคือใต้เท้าเสิ่นเจี๋ย ดูแลเรื่องความเรียบร้อยเรื่องการเงิน หากท่านหญิงต้องการเบิกจ่ายหรือต้องการสิ่งใดเพิ่มก็แจ้งกับใต้เท้าเสิ่นได้เลย ส่วนข้าน้อยจินอวี้หานจากนี้จะรับหน้าที่ดูแลความสะดวกสบายและอารักขาท่านตลอดเวลาที่ท่านพำนักอยู่ที่เมืองหลวง”
“ขอบคุณใต้เท้าทั้งสามมาก”
“ท่านหญิงเดินทางมาเหนื่อย ๆ พักสักหน่อยจะดีกว่าเชิญตามข้าน้อยมาทางนี้”
“ขอบคุณ”
ใต้เท้าเจิ้งและใต้เท้าเสิ่นเดินทางกลับไปที่ประจำของตนเองโดยมิได้ตามจินอวี้หานมาด้วย ขุนนางหนุ่มผู้นี้แม้จะอายุน้อยแต่กลับพูดจาคล่องแคล่วและดูมีความรู้มากกว่าที่หงหลินซินจะกล้าพูดเล่นกับเขา
“หากท่านหญิงต้องการสิ่งใดเพิ่มก็แจ้งข้าได้ ข้าน้อยจะให้คนจัดหามาให้ตามที่ท่านต้องการ ฝ่าบาททรงกำชับมาแล้วว่าท่านหญิงต้องพักอยู่ที่นี่ด้วยความสะดวกสบายที่สุด”
“ขอบคุณใต้เท้าจิน แล้วถ้าหากข้าอยากจะไปเดินเล่นในเมือง จะสามารถทำได้หรือไม่”
“เรื่องนั้น… ย่อมได้แต่ทุกครั้งต้องมีคนออกไปด้วย”
“อะไรนะ ออกไปเองไม่ได้เช่นนั้นก็ลำบากแล้วสิ”
“ท่านหญิง ทุกอย่างฝ่าบาทคำนึงถึงความปลอดภัยของท่านหญิงมาก่อนเสมอ โปรดเข้าใจด้วย”
“ก็ได้ ๆ เช่นนั้นถ้าจะไปก็ต้องไปกับท่านแบบนี้ก็ใช้ได้แล้วใช่หรือไม่”
“เอ่อ… เรื่องนี้ข้าคิดว่า...”
“หากไม่ได้ท่านก็แค่หลับตาข้างเดียวแล้วปล่อยข้าไป มิเช่นนั้นข้าก็จะ…”
“ท่านหญิง หากท่านต้องการออกไปเดินเล่น ข้าน้อยย่อมพาไปได้แต่คงต้องแจ้งล่วงหน้าสักหน่อย”
“น่าเบื่อเสียจริง ช่างเถอะว่าแต่ไหนล่ะที่พักของข้า”
“เชิญทางนี้”
หงหลินซินเดินตามเขาไปอย่างว่าง่ายจนถึงตำหนักด้านหลังที่มีต้นดอกเหมยที่กำลังบานอยู่ตรงหน้า ตำหนักที่แยกออกมาน่าอยู่และดูเรียบง่ายแต่ด้านในกลับตกแต่งอย่างหรูหราและเป็นส่วนตัวโดยมีทหารองครักษ์ของวังหลวงเฝ้าอยู่ด้านนอก
“เรือนนี้งดงามยิ่งนัก”
“ฝ่าบาทพิถีพิถันเลือกที่นี่ก่อนจะสั่งให้คนสร้างเรือนพักส่วนตัวให้ท่านหญิงเพื่อพักผ่อนระหว่างที่ท่านพักอยู่ในเมืองหลวง หวังว่าจะถูกใจ”
“ขอบคุณท่านราชครูจินถูกใจข้ามากเลย ดอกเหมยงั้นหรือ”
“ฝ่าบาททรงใส่พระทัยเพราะทรงทราบมาจากท่านอ๋องว่าท่านหญิงชื่นชอบดอกเหมยและชอบดื่มชาดอกเหมยในฤดูเหมันต์มากที่สุดดังนั้นจึงได้จัดเตรียมให้ท่านเป็นพิเศษ”
“ฝ่าบาททรงใส่พระทัยจริง ๆ เช่นนั้นเมื่อใดข้าจะได้เข้าเฝ้าพระองค์งั้นหรือ”
“เรื่องนั้นต้องให้ฝ่าบาทมีรับสั่งมาก่อนแล้วข้าน้อยจะพาท่านหญิงไปเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยตัวเอง”
“อ้อ งั้นหรือ ไม่เป็นไรข้าเองก็ไม่ได้รีบขนาดนั้นว่าแล้วท่านราชครูพักอยู่ที่นี่ด้วยงั้นหรือ”
ดวงตากลมโตของหงหลินซินทำเอาราชครูจินหันไปมองด้วยความเผลอตัว แม้จะเห็นแค่ดวงตาเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าท่านหญิงหงผู้นี้มิใช่คนที่พูดยากอะไรและยังดูเป็นมิตรมากกว่าที่คิดเอาไว้ก่อนจะชี้ไปทางเรือนพักข้าง ๆ ซึ่งขวางเพียงแค่รั้วต้นดอกเหมยกั้นเท่านั้น
“ระหว่างที่ท่านหญิงพักอยู่ที่อารามหย่งอัน ข้าน้อยก็จะอยู่อารักขาท่านที่เรือนข้าง ๆ ดังนั้นไม่ต้องห่วงเพราะรอบ ๆ อารามแห่งนี้ยังมีองครักษ์ “เฟินหลิน” คอยอารักขาตลอดเวลา"