บทที่ 4
เบื้องหน้าเป็นอาคารหินอ่อนสูงตระหง่านตา ลายริ้วหินไล่เรียงไม่เป็นระเบียบทว่ายามแสงส่องกลับงดงามแปลกตา ทำเลที่ตั้งของหอเเห่งนี้โดดเด่นมาก ตั้งกลางเเยกทำให้ทางเดินซื้อของเเยกเป็นสองทางล้อมรอบ บริเวณด้านข้างเว้นพื้นที่โล่งกว้างไว้สำหรับจอดรถม้า ตรงประตูทางเข้ามีสาวรับใช้หน้าตาสะสวยยืนยิ้มต้อนรับ
…ดูท่าเจ้าของหอสรรพสิ่งจะมีเงินใช้เหลือเฟือ ขนาดหอสาขาย่อยยังยิ่งใหญ่เพียงนี้ แล้วหอในเมืองหลวงจะตระการตาขนาดไหนเนี่ย!!!
“แม่นางเหมยฮวารีบตามข้ามาเร็ว!"
เสียงเรียกของชิงซาดึงสาวน้อยที่เพิ่งออกมาเผชิญโลกนอกจวนครั้งแรกหลุดออกจากภวังค์ พอนางหันกลับไปก็สบเข้ากับสายตาหลายคู่ที่มองมายังทางนางอย่างล้อเลียน
“เเฮะ ๆ ข้าทำให้ขายหน้าแล้ว”
นางรีบก้มหน้าก้มตาวิ่งเข้าไปหาคุณชายเย่
“คุณชายมีอะไรให้บ่าวช่วยไหมเจ้าคะ?”
เย่หยางเหวินยื่นกล่องหน้าตาเรียบแต่ดูหรูหราให้ทั้งที่ใบหน้ายังประดับไปด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าคอยตามข้าและถือของเถอะ”
หลังจากบ่าวบุรุษทั้งสามคนช่วยกันขนของเรียบร้อยแล้ว เย่หยางเหวินจึงเดินนำทุกคนเข้าไป ก่อนเข้าหอสรรพสิ่งต้องแสดงป้ายบางอย่างก่อน ซึ่งหากนางเดาไม่ผิดน่าจะคือป้ายผ่านเข้างาน
พอสองสาวที่ยืนต้อนรับแขกหน้าประตูเห็นก็รีบกุรีกุจอเชิญทั้งหมดเข้าไปข้างในทันที พวกนางถูกพาให้เดินไปตามทางเดินทางหนึ่งซึ่งช่วงแรกยังพอมีคนบ้าง พอหยางเหวินเดินผ่านใครก็มีหยุดทักทายพอเป็นพิธี เเต่พอเดินมาสักพักทางเดินเเห่งนี้ก็เริ่มไร้ผู้คน มีขึ้นบันไดไปราว ๆสามชั้นก่อนหยุดลงที่หน้าห้องเเห่งหนึ่ง
…ห้องสุริยัน
“ของเหล่านี้เดี๋ยวให้ถือตามข้าน้อยไป ส่วนคุณชายเย่เชิญเข้าไปพักผ่อนรองานเริ่มได้ตามสบายเจ้าค่ะ เรียกบ่าวข้างนอกรับใช้ได้เสมอนะเจ้าคะ”
สิ้นเสียงหวานหยดย้อย บ่าวร่างกำยำที่ยืนเฝ้าห้องนี้มาแต่ต้นก็เปิดประตูให้พวกเขาก้าวเข้าไป หยางเหวินเดินไปนั่งเก้าอี้ไม้แดงอย่างดีกลางห้องที่มีเพียงสามตัว โต๊ะตัวเตี้ยอีกหนึ่งตัว มีชุดชาวางบนนั้นหนึ่งชุด
พอบ่าวรับใช้ชายที่ตามมาเเต่เเรกวางของในห้องเรียบร้อยก็ขอตัวออกไปรอข้างล่าง ในห้องจึงเหลือเพียงหยางเหวิน ชิงซาแล้วก็นาง
ซูเมิ่งรับสัญญาณจากชิงซาให้ไปชงชานางจึงเดินไปทำตามหน้าที่
ขณะที่หยางเหวินกำลังยกชาขึ้นดื่มพลันก็มีเสียงดังเอ็ดตะโรด้านนอก
“คุณชายเย่ขอรับ คุณชายหลินกับคุณชายหลางมาขอพบขอรับ”
“ให้เข้ามาได้”
สิ้นเสียง ประตูก็เปิดออกยังไม่ทันเห็นหน้าคน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นนำหน้ามาก่อน
“สหายไยเจ้าได้นั่งที่ดีขนาดนี้แล้วไม่เรียกข้าเล่า”
นำเสียงมิใคร่พอใจนักดังขึ้นก่อนนางจะเห็นเป็นชายหนุ่มสองคนก้าวเดินเข้ามา
คนเเรกเจ้าของเสียงเป็นชายหน้าตาอย่างบุรุษอารมณ์ดี ขนหัวคิ้วเกือบชนกัน ร่องบนแก้มเด่นชัดแต่ไม่ได้ทำให้ใบหน้าดูแก่กว่าวัย บ่งบอกว่าเป็นชายขี้เล่น ยิ้มเก่ง และดูออกจะเจ้าชู้ ส่วนอีกคนตามมาทีหลังส่ายหน้าอย่างเอือมระอาก้าวเข้ามาด้วยฝีเท้ามั่นคง ใบหน้าออกจะติดขรึม น่าจะเป็นคนเข้าถึงยากระดับหนึ่ง
พอนางเห็นมีแขกเข้ามาใหม่จึงถอยออกมาอย่างรู้มารยาท เเต่สายตาแอบชำเลืองสังเกตผู้มาใหม่ตามนิสัยคนช่างวิเคราะห์ช่างสังเกต
“ท่านอาจองห้องชั้นเดียวกันมิใช่รึ ไยเจ้ามาที่นี่ได้”
หยางเหวินไม่ตอบรับคำแง่งอนนั้นแต่กลับย้อนรอยสหายอย่างรู้ทัน
“ห้องนั้นอึดอึดจะแย่ มีเเต่…เอิ่มนั่นเเหละ ก็ข้าอยากมานั่งกับเหล่าสหายมากกว่านี่”
พูดจบก็ถือวิสาสะนั่งลงข้างยังเก้าอี้ที่เหลือ
“เจ้าก็ยื่นนิ่งอยู่ได้! ต้องรอให้ข้าเชิญหรือ คุณชายหลาง”
คำพูดประชดประชันออกจากปากของคนหน้าหนา
“ข้าไม่ได้หน้าหนาอย่างเจ้านะ ข้ารอเจ้าของห้องเชิญอยู่”
พูดพลางเดินมานั่งทั้งที่เจ้าของก็ยังไม่เชิญเช่นกัน
“เห็นไหมข้ารู้เจ้าจัดเก้าอี้รอข้าอยู่ ฮ่าฮ่า”
มันมีสามตัวพอดีต่างหากล่ะ…
โธ่ บุรุษผู้นี้ช่างเป็นคนชอบคิดเข้าข้างตัวเองอย่างหน้าไม่อาย…นางอดค่อนขอดในใจ
แต่คนถูกว่าในใจกลับมองเห็นสายตาสื่ออารมณ์นั่นพอดี
“เอ้อ เจ้ามีสาวใช้แล้วรึ!? ไหนเจ้าบอกไม่ชอบบ่าวสตรีอย่างไร”
เป็นบ่าวที่แปลกประหลาดจริง หน้าตาก็ดูธรรมดาโดดเด่นที่ผื่นเเดงเเค่นั้น แต่กลับกล้าส่งสายตาเย้ยหยันสหายเจ้านายแบบไม่ปิดบัง ทั้งที่หญิงสาวส่วนใหญ่ไม่หลบหน้าหลบตาก็ต้องเเสดงอาการขวยเขินเมื่อเจอชายหนุ่มผู้หล่อเหลาอย่างเขา
“อืม สักพักแล้ว”
หยางเหวินสะตุกเล็กน้อยก่อนกลับมาเรียบเฉยดังเดิม แต่เขาก็ไม่ได้ตอบคำถามสหายเเต่อย่างใด
“หึ งั้นเจ้าน่ะมารินน้ำชาให้ข้าซิ”
มือหนาชี้ไปทางหญิงคนเดียวในห้อง “เป็นบ่าวอย่างไร สหายเจ้านายมาไม่ปรนนิบัติ”
…ถือโอกาสแกล้งเสียเลย ดูซิจะกล้าส่งสายตาแบบนั้นอีกไหม
ซูเมิ่งหันไปหาหยางเหวิน พอนางได้รับสัญญาณให้ทำตามที่ขอก็เดินอย่างสำรวมรินชาให้คุณชายทั้งสอง
“ขอให้ดื่มให้อร่อยเจ้าค่ะ”
นางเอ่ยเสียงหวานไม่มีทีท่าไม่พอใจ
…แต่ใครจะรู้ว่าในใจนางแอบทดอีตาหน้าหนานี่ไว้ในบัญชีแค้น หากเจอคราวหน้ามีโอกาสต้องคิดดอกเบี้ยทบต้นทบดอกแน่
คุณชายที่เข้ามาใหม่สองคนอยู่นั่งคุยกับหยางเหวินตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คนพูดเก่งนามหลิงเจียฉวี่ ส่วนอีกคนที่ตั้งเเต่เข้ามาพูดแทบนับคำได้นามหลางฮุ่ยฟู พวกเขาทั้งสามดูสนิทกันมานานแล้วเพราะดูเข้าใจนิสัยใจคอซึ่งกันและกันดี
แม้คุณชายหลิงจะพูดไม่เข้าหูเพียงใด สหายทั้งสองก็ได้เเต่ยิ้มไม่เก็บมาใส่ใจ
“ทำให้ทุกท่านรอนานเสียแล้ว…”
สิ้นเสียงลานประมูลเงียบลงทันที สายตาทุกคู่จากทั้งห้องชั้นบนและเหล่าผู้คนที่นั่งรวมกันชั้นล่างต่างเพ่งมองหญิงสาวในชุดเเดงเพลิงรับกับรูปร่างสะโอดสะอง ใบหน้ารูปไข่งดงามเลิศล้ำ พอรวมเข้ากับน้ำเสียงหวานยั่วยวนแต่ทรงพลังเมื่อครู่ แม้นางเป็นหญิงยังอดละสายตาไม่มองไม่ได้
“วันนี้ข้าน้อยรับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินงานประมูลนี้ เชื่อว่าทุกท่านคงรู้กฎของเรามากันบ้างแล้วแต่ข้าน้อยจะทบทวนให้สักนิด…”
“แม่นางลวี่ออกมาดำเนินงานทีไรวันนั้นต้องมีสินค้าชิ้นสำคัญทุกที”
เสียงคุณชายหลิงดังขึ้น “และถ้าให้ข้าเดาคงเป็นของโรงหมอตระกูลเจ้าเป็นแน่”
“หึ เจ้าก็รอดูสิ เดี๋ยวรู้เอง”
หยางเหวินยกยิ้มมุมปาก ก่อนหันหน้ากลับไปสนใจแท่นศิลากลางเวทีเบื้องล่างต่อ
การประมูลของหอสรรพสิ่งช่วงเเรกเป็นพวกอัญมณี คนที่ประมูลส่วนใหญ่เป็นเหล่าฮูหยินตระกูลชั้นนำในเมืองนี้ ต่อจากนั้นก็มีสมุนไพรหายากอีกสามชนิด
“และสินค้าชิ้นสุดท้ายนี้เป็นโอสถล้ำค่าจากหอโอสถตระกูลเย่ เป็นตัวยาที่มีส่วนผสมของโสมพันปี มีสรรพคุณช่วยเพิ่มกำลังภายใน ผู้ใดไม่มีกำลังภายในเมื่อฝึกก็จะพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว หากใครเป็นผู้มีกำลังภายในอยู่แล้วจะสามารถทะลวงกำลังภายในได้มากขึ้น และหากผู้กินเป็นชายจะช่วยเพิ่มกำลังความเป็นชายด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ”
“ทุกท่านเชิญดูได้เลย”
ทันทีที่เสียงตื่นเต้นเร้าใจดังขึ้นแท่นหินก็ผุดขึ้นจากพื้นด้านล่าง บนแท่นหินมีครอบเเก้วสีใสครอบขวดเล็กข้างในเป็นเม็ดยาราวสองถึงสามเม็ดสีน้ำตาล
เสียงเกรียวกราวดังขึ้นรอบทิศทั้งชั้นบนและชั้นล่าง ยาเม็ดนี้เป็นเสมือนทางลัดในการก้าวข้ามขีดจำกัดเฉพาะบุคคลที่ไม่สามารถมีกำลังภายในไปมากกว่าเดิม แต่ไม่มีใครกล้าเปิดราคาเริ่มต้นก่อนสักที
“หนึ่งพันตำลึง…”
“หนึ่งหมื่นตำลึง…”
“สองหมื่นตำลึง…”
“ห้าหมื่นตำลึง…”
ตัวเลขเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตระกูลใหญ่สามอันดับเเรกในเมืองซีเปียนให้ราคาสูงลิ่ว
บนชั้นบนห้องพิเศษซูเมิ่งเกาะราวก้มดูสถานการณ์ตรงหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจ ประกายตาวิบวับ นางชอบบรรยากาศนอกจวนยิ่งนัก
“แค่ยาเม็ดเดียวเองไยต้องเผาบ้านเผาเรือนเพียงนั้น”
นางบ่นพึมพำกับตนเองแต่มีบางคนหูดีได้ยิน
“เจ้าไม่รู้อะไรแค่บอกว่ามีโสมพันปีเป็นส่วนผสมราคาหลักหมื่นยังน้อยไปด้วยซ้ำ ชิ”
เจียฉวี่แค่นเสียงพลางยกน้ำชาขึ้นดื่ม
