สมรสพระราชทาน
ภายในห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้ทรงกริ้วอย่างหนักเมื่อได้ยินข่าวลือเรื่ององค์หญิงสามผลักไป๋หลี่เมิ่งตกน้ำ พระพักตร์แดงก่ำด้วยโทสะ เสียงคำรามกึกก้องไปทั่วห้อง "โจวฟางเซียน! เจ้ามันเป็นตัวอัปยศของราชวงศ์!"
ฮ่องเต้ทรงรู้สึกอับอายขายหน้าอย่างที่สุดที่องค์หญิงผู้สูงศักดิ์กลับก่อเรื่องเสื่อมเสียเช่นนี้ พระองค์ทรงตำหนิโจวฟางเซียนอย่างรุนแรง "เจ้ามันช่างโง่เขลา! ทำตัวไร้ค่าเช่นนี้ ใครเขาจะอยากได้เจ้าไปเป็นภรรยา!"
ในความคิดของฮ่องเต้ องค์หญิงสามเป็นเพียงสตรีเอาแต่ใจ ไร้ความสามารถ ไร้ค่าคู่ควรกับราชวงศ์ยิ่งนัก พระองค์ทรงตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะมอบสมรสพระราชทานให้องค์หญิงสามกับขุนนางบ้านนอกที่อยู่ห่างไกล เพื่อไม่ให้นางสร้างความเสื่อมเสียให้กับราชวงศ์อีก
แต่ฮองเฮาเสิ่นอวี้กลับไม่เห็นด้วยกับการกระทำของฮ่องเต้ แม้จะไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่ภายในใจของฮองเฮากลับร้อนรุ่มเป็นไฟ นางไม่อาจทนเห็นลูกสาวที่รักต้องถูกเนรเทศไปอยู่แดนไกลได้
"ฝ่าบาท" ฮองเฮาทูลเสียงแผ่วเบา แต่หนักแน่น "หม่อมฉันคิดว่าเรื่องนี้ควรจะสอบสวนให้แน่ชัดก่อน องค์หญิงสามอาจจะไม่ได้เป็นคนทำก็ได้"
ฮ่องเต้ทรงชะงักไปครู่หนึ่ง พระองค์ทรงรู้ดีว่าฮองเฮารักและเอ็นดูโจวฟางเซียนมากเพียงใด แต่พระองค์ก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อข่าวลือที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับราชวงศ์ได้
"ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้เป็นคนทำ แต่นางก็ทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสียชื่อเสียง" ฮ่องเต้ตรัสเสียงเข้ม "การมอบสมรสพระราชทานและส่งนางไปอยู่ที่อื่นเป็นทางออกที่ดีที่สุด"
ฮองเฮาทรงถอนหายใจเฮือกใหญ่ นางรู้ว่าไม่อาจเปลี่ยนใจฮ่องเต้ได้ แต่ก็ไม่อาจยอมให้ลูกสาวต้องถูกเนรเทศไปอย่างไร้เยื่อใยเช่นนี้
"ฝ่าบาท หม่อมฉันขอร้อง" ฮองเฮาทูลวิงวอน "โปรดให้โอกาสองค์หญิงสามได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองด้วยเถิด"
ฮ่องเต้ทรงมองฮองเฮาด้วยสายตาอ่อนโยน พระองค์ทรงรู้ดีว่าฮองเฮาเป็นสตรีผู้มีเหตุผลและไม่เคยขออะไรที่เกินเลย
"ก็ได้" ฮ่องเต้ตรัสในที่สุด "เราจะให้โอกาสนาง แต่ถ้านางไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้ นางก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา"
ฮองเฮาทรงถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างน้อยลูกสาวของนางก็ยังมีโอกาสได้แก้ไขความผิดพลาด
แต่ในขณะเดียวกัน ซูกุ้ยเฟยและองค์หญิงเจ็ดโจวฟางหรูกลับรู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่งที่ฮ่องเต้เปลี่ยนใจ พวกนางต่างคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะกำจัดโจวฟางเซียนให้พ้นทาง แต่กลับต้องมาผิดแผนเพราะฮองเฮา
ความเกลียดชังที่มีต่อโจวฟางเซียนยิ่งเพิ่มพูนขึ้นในใจของซูกุ้ยเฟยและโจวฟางหรู พวกนางสาบานว่าจะต้องทำให้องค์หญิงสามตกต่ำยิ่งกว่านี้อีกให้ได้
เสียงโห่ร้องยินดีดังกึกก้องทั่วเมืองชายแดนเมื่อกองทัพของแม่ทัพเกาเฟยฉีเดินทางกลับมา หลังจากการต่อสู้ที่ยาวนานและยากลำบาก ในที่สุดพวกเขาก็สามารถปราบปรามชนเผ่านอกด่านและตัดหัวของหัวหน้าเผ่าได้สำเร็จ สงครามที่ยืดเยื้อมานานสิ้นสุดลง เหล่าทหารต่างรู้สึกโล่งใจและภาคภูมิใจในชัยชนะครั้งนี้
เกาเฟยฉี แม่ทัพผู้เกรียงไกรควบม้าคู่ใจเข้าสู่เมืองด้วยท่าทางองอาจ ใบหน้าคมสันของเขาเปื้อนไปด้วยฝุ่นควันจากสนามรบ แต่แววตาของเขากลับเปล่งประกายด้วยความยินดีและความหวังที่จะได้กลับบ้าน
เมื่อเดินทางมาถึงจวนแม่ทัพ เขาก็ได้รับจดหมายด่วนจากฮ่องเต้ เนื้อความในจดหมายแจ้งว่าฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้เกาเฟยฉีเข้าเฝ้าเพื่อรับพระราชทานรางวัล พร้อมกับจดหมายอีกฉบับที่แนบมาข้างกัน
เกาเฟยฉีเปิดอ่านจดหมายอีกฉบับด้วยความประหลาดใจ เมื่อพบว่าเป็นลายมือของไป๋หลี่เมิ่ง หญิงสาวที่เคยช่วยชีวิตเขาและกองทัพไว้เมื่อครั้งอดีต เนื้อความในจดหมายเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาเกือบลืมเลือนไปแล้ว เมื่อครั้งกองทัพของเขาขาดแคลนเสบียงอย่างหนัก ไป๋หลี่เมิ่งได้รวบรวมเงินทองจากเหล่าสตรีชั้นสูงมาซื้ออาหารช่วยเหลือเหล่าทหารจนสามารถผ่านพ้นวิกฤตมาได้
แต่ท้ายจดหมายกลับมีข้อความที่ทำให้เกาเฟยฉีตกตะลึง "โปรดช่วยข้ากำจัดองค์หญิงสาม"
หัวใจของเกาเฟยฉีเต้นระรัวด้วยความสับสน องค์หญิงสามที่ไป๋หลี่เมิ่งกล่าวถึงคือโจวฟางเซียน องค์หญิงผู้สูงศักดิ์และเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เหตุใดไป๋หลี่เมิ่งจึงต้องการให้เขากำจัดองค์หญิงผู้นี้?
เกาเฟยฉีขมวดคิ้วแน่น ความรู้สึกขัดแย้งกันอย่างรุนแรง เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าไป๋หลี่เมิ่งมีความแค้นเคืองกับองค์หญิงสามถึงเพียงนี้ แต่เมื่อนึกถึงบุญคุณที่ไป๋หลี่เมิ่งเคยช่วยชีวิตเขาและเหล่าทหารไว้ หัวใจของเขาก็เอียงไปทางหญิงสาว
เกาเฟยฉีและกองกำลังทหารคู่ใจเดินทางมาถึงเมืองหลวงภายในเวลาไม่นานนัก ทันทีที่ถึงเมืองหลวง เขาตรงไปยังพระราชวังเพื่อขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ตามพระราชโองการ เมื่อฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นเกาเฟยฉี ก็ทรงนึกถึงเกาเทียนฉี สหายเก่าผู้ล่วงลับไปแล้ว ซึ่งเป็นบิดาของเกาเฟยฉี
"เจ้าคือบุตรของเกาเทียนฉีสินะ" ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "พ่อของเจ้าเป็นวีรบุรุษของแผ่นดิน เราจะไม่มีวันลืมความดีของเขา"
เกาเฟยฉีก้มลงคำนับด้วยความเคารพ "ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงระลึกถึงบิดาของกระหม่อม"
"เจ้าต้องการสิ่งใดหรือไม่" ฮ่องเต้ตรัสถาม "เราจะประทานให้เจ้าทุกอย่างเท่าที่เราจะทำได้"
เกาเฟยฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปาก "ฝ่าบาท กระหม่อมขอพระราชทานสมรสกับองค์หญิงสาม"
คำขอของเกาเฟยฉีทำให้ฮ่องเต้ถึงกับตะลึงงัน พระองค์ทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสถาม "เจ้ารู้หรือไม่ว่าองค์หญิงสามมีข่าวลือเสียหายมากมาย"
"กระหม่อมทราบฝ่าบาท" เกาเฟยฉีตอบอย่างหนักแน่น "แต่กระหม่อมเชื่อว่าองค์หญิงสามไม่ได้เป็นอย่างที่ข่าวลือกล่าวอ้าง"
ฮ่องเต้ทรงมองเกาเฟยฉีด้วยสายตาพิจารณา พระองค์ทรงรู้ดีว่าเกาเฟยฉีเป็นคนซื่อสัตย์และมีความสามารถ หากเขาแต่งงานกับองค์หญิงสาม ก็อาจจะช่วยกอบกู้ชื่อเสียงของราชวงศ์ได้
"ก็ได้" ฮ่องเต้ตรัสในที่สุด "เราจะประทานสมรสให้องค์หญิงสามกับเจ้า"
เกาเฟยฉีก้มลงคำนับ "ขอบพระทัยฝ่าบาท"
"เราจะจัดงานมงคลให้เจ้าในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า" ฮ่องเต้ตรัสต่อ "เจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม"
"พ่ะย่ะค่ะ" เกาเฟยฉีรับพระราชโองการ
หลังจากออกจากพระราชวัง เกาเฟยฉีก็ตรงไปยังจวนรับรองของเขาที่อยู่ในเมืองหลวง
ทันทีที่เกาเฟยฉีกลับมาถึงจวนของตน เขาเรียกคนสนิทเข้ามาพบและสั่งให้เขียนจดหมายถึงไป๋หลี่เมิ่งทันที เนื้อความในจดหมายระบุว่าเขาตกลงรับข้อเสนอของนางแล้ว เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณที่นางเคยช่วยเหลือเขาและกองทัพเอาไว้
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียง ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและความเครียดจากการตัดสินใจทำให้เขาผล็อยหลับไปในที่สุด
โจวฟางเซียนนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างบานใหญ่ภายในตำหนักของนาง สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาปะทะผิวกาย แต่มิอาจดับไฟร้อนรุ่มที่ลุกโชนอยู่ในใจได้ ภาพความทรงจำเก่า ๆ ผุดขึ้นมาในห้วงคำนึง นางนึกถึงวันแรกที่ได้พบกับเย่ซีเฉิน...
ย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน ในงานเทศกาลชมดอกไม้ประจำปีของวังหลวง โจวฟางเซียนในวัยสิบห้ายังคงเป็นเด็กสาวไร้เดียงสา นางวิ่งเล่นอยู่ในสวนดอกไม้อย่างสนุกสนาน ก่อนจะสะดุดล้มลงไปกองกับพื้น
"โอ๊ย!" นางร้องเสียงหลง พร้อมกับยกมือขึ้นลูบข้อเท้าที่แพลง
"เป็นอะไรมากหรือเปล่า" เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นจากด้านหลัง
โจวฟางเซียนเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบกับชายหนุ่มรูปงามในชุดขุนนาง เขาคุกเข่าลงข้างๆ นาง พร้อมกับยื่นมือมาช่วยพยุง
"ข้าชื่อเย่ซีเฉิน" เขาแนะนำตัว "แล้วเจ้าน่ะ?"
"ชื่อของข้าคือองค์หญิงสาม โจวฟางเซียน" นางตอบเสียงเบา
เย่ซีเฉินยิ้มให้โจวฟางเซียนอย่างอ่อนโยน "ไม่ต้องกลัวนะองค์หญิงน้อย ข้าจะพาเจ้าไปทำแผล"
เขาประคองโจวฟางเซียนไปยังศาลาที่อยู่ใกล้ๆ แล้วทำแผลให้ที่ข้อเท้าอย่างเบามือ
"เจ็บไหม?" เขาถามด้วยความเป็นห่วง
โจวฟางเซียนส่ายหน้า "ไม่เจ็บแล้ว ขอบคุณท่านมาก"
นับตั้งแต่วันนั้น โจวฟางเซียนและเย่ซีเฉินก็ได้พบกันบ่อยขึ้น เย่ซีเฉินมักจะหาเวลาว่างมาเล่นกับนาง สอนนางอ่านหนังสือ เขียนพู่กัน หรือแม้แต่เล่นหมากล้อมด้วยกัน
ความใกล้ชิดทำให้ทั้งสองคนเริ่มผูกพันกันมากขึ้น โจวฟางเซียนตกหลุมรักเย่ซีเฉินอย่างถอนตัวไม่ขึ้น นางเฝ้ารอคอยวันที่เขาจะมาสู่ขอนางจากฮ่องเต้
แต่แล้วความฝันของนางก็พังทลายลง เมื่อเย่ซีเฉินกลับตกหลุมรักไป๋หลี่เมิ่ง และตัดสินใจแต่งงานกับนางแทน
โจวฟางเซียนได้แต่เก็บความเจ็บปวดเอาไว้ นางรู้ดีว่าตอนนี้นางมีชื่อเสียงที่ย่ำแย่ ข่าวลือเสียหายที่แพร่สะพัดไปทั่ว คงทำให้เย่ซีเฉินไม่มีวันหวนกลับมามองนางอีก
"บางทีข้าควรจะตัดใจเสียที" โจวฟางเซียนพึมพำกับตัวเอง "ความรักที่ไม่มีวันเป็นจริง ก็ไม่ควรจะยึดติดต่อไป"
"ลาก่อน เย่ซีเฉิน" โจวฟางเซียนหลับตาลง น้ำตาหยดหนึ่งไหลรินลงมาอาบแก้ม นางตัดสินใจแล้วว่าจะลืมเขาให้ได้ แม้จะเจ็บปวดเพียงใดก็ตาม