บทที่ 1 รอยยิ้มสกุณา 1
บทที่ 1
รอยยิ้มสกุณา
ป้ายขนาดใหญ่สีขาว เขียนด้วยหมึกสีดำเป็นภาษาอังกฤษอย่างเป็นระเบียบว่า ‘The pleasure of the wearer’ ภายในร้านกรุกระจกใส ทำให้บุคคลภายนอกสามารถมองเข้าไปเห็นข้างในได้ถนัด หุ่นโชว์หลายตัวทั้งหญิงและชายสวมใส่ชุดที่ตัดเย็บอย่างประณีต
ร่างสูงยืนมองผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังนั่งยองๆบนปลายเท้า จับชายกระโปรงที่สวมบนตัวหุ่นดูอย่างละเอียดราวกับจะตรวจหาตำหนิ
ผมของหล่อนรวบตึงขมวดเป็นมวยเล็กๆอวดลำคอระหง สวมแว่นตาใสๆกรอบสีฟ้า แม้ว่าจะเป็นเจ้าของร้านเสื้อผ้า แต่หล่อนกลับสวมเสื้อผ้าเรียบๆล้าสมัย แต่ก็ดู…น่ารักอยู่ดีในสายตาของชายหนุ่ม
แว่นตาดำถูกถอดลงแล้วเหน็บไว้ที่คอปกเสื้อเชิ้ตสีเทาดำก้าวเท้ายาวๆเข้าไปในร้านอย่างมั่นใจโดยที่สายตาไม่ยอมละจากเจ้าของร่างบางเลยแม้แต่เสี้ยววินาที
กริ๊งๆๆๆ
โมบายสร้างจากไม้ไผ่กระทบกันดังก้องกังวาน…นุ่มนวลและสงบเย็นเมื่อมีเสียงของระฆังเงินอันเล็กๆสั่นไหวตามแรงลมที่พัดเอื่อยๆ… ก้าวแรกที่เขาย่างเข้ามาในร้าน ความอบอุ่นผสานกับกลิ่นหอมหวานของวานิลลากระตุ้นให้เขาถึงกับชะงักกึก มองดูเจ้าของร้านสาวที่รีบขยับกายลุกขึ้นยืนเชื้อเชิญด้วยรอยยิ้ม…
“สวัสดีค่ะ ร้าน The pleasure of the wearer ยินดีต้องรับ ดิฉัน…สกุณาค่ะ เป็นเจ้าของร้านที่นี่ ต้องการชุดแบบไหน สไตล์ไหน สามารถสอบถามได้เลยนะคะ”
แม้จะพูดตามหน้าที่ที่ต้องทำ แต่แก้วเสียงที่เพราะและหวานทำให้ชายหนุ่มถึงกับครางในอก…เสียงระฆังทองยังพ่ายแพ้ต่อเสียงของหล่อน
ถึงจะอยู่ในชุดเก่าๆแต่ก็ดูสะอาดสะอ้าน วงหน้าสวยแบบเรียบๆ ดวงตาเป็นประกาย แต่น่าเสียดาย…หล่อนเป็นนางแม่มดที่เขาไม่ควรหลงใหล
“เอ่อ…ผมจะแต่งงาน” เสียงทุ้มบอก ในขณะที่สกุณาลอบถอนหายใจ…ว่าอยู่แล้วเชียวว่าผู้ชายหุ่นล่ำ ตัวสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลาเช่นเขาจะต้องมีแฟนอยู่แล้ว แม้ว่าในใจจะคิดแอบเสียดาย แต่ริมฝีปากบางที่ปราศจากลิปสติกกลับยังคงคลี่ยิ้มดึงดูดใจลูกค้า
“อ๋อ…ถ้าเช่นนั้นคุณคงต้องการชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว ขอโทษนะคะ…คงไม่ว่าอะไร หากฉันต้องการทราบชื่อของคุณ”
“ผม… เทโรนี่ ดีน มอนดาโดรี่” แม้สำเนียงไทยจะฟังแปร่งๆแต่น้ำเสียงกลับนุ่มนวลชวนน่าฟัง หล่อนยิ้มยิงฟันขาวพยักหน้ารับ…
“อ๋อ คนอิตาเลี่ยนหรือคะ”
“ครับ ผมเป็นชาวอิตาเลี่ยน มีธุรกิจอยู่ที่โน่นแต่ก็แตกสาขามาเมืองไทยด้วย ผมได้รับมอบหมายหน้าที่ให้มาบริหารงานที่นี่”
“อ๋อ ค่ะ…คุณมอนดาโดรี่เป็นคนมีความสามารถ เจ้าสาวของคุณเป็นคนเอเชียหรือว่าชาวต่างชาติคะ” หล่อนถาม พลางเสมองไปทางอื่น…ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงรู้สึกอึดอัดชอบกลเมื่อถูกดวงตาสีน้ำเงินราวท้องทะเลจ้องมอง…สายตานั้นบ่งบอกถึงอะไรหลายๆอย่าง…ซึ่งหล่อนก็เดาไม่ออกว่ามันหมายถึงอะไร
“เรียกว่าเทโรนี่ดีกว่าครับคุณสกุณา…มิสสกุณา คุณสวยมาก” คำชมจากเขาทำให้หล่อนเริ่มวางตัวไม่ถูก…อะไรกันผู้ชายคนนี้ ทั้งๆนี้หล่อนอยู่ในสภาพแสนจะธรรมดา แต่เขากลับชมหน้าตาเฉยว่าหล่อนสวย ทั้งๆที่ถ้าเป็นคนอื่นมาเห็นหล่อนแต่งตัวเชยๆแบบนี้ มีแต่จะว่าหล่อนเป็นยัยเฉิ่ม ทำตัวไร้รสนิยมทั้งๆที่เป็นเจ้าของร้านตัดเสื้อแท้ๆ
“เข้าเรื่องเลยดีกว่าค่ะคุณเทโรนี่ คุณจะให้ฉันตัดชุดเจ้าสาวและเจ้าบ่าวแบบไหนคะ”
“นอกจากชุดแต่งงานแล้ว ร้านคุณรับตัดเสื้อผ้าแบบไหนอีก” เขาถาม และหล่อนก็จาระไนถึงงานของหล่อนด้วยน้ำเสียงราบรื่นราวกับภูมิใจในสิ่งที่ตนทำ
“ร้านของเรารับตัดเสื้อผ้าทุกประเภทค่ะ ไม่ว่าจะชุดออกงานทั่วไป ชุดใส่ไปงานศพ ชุดทำงาน ยูนิฟอร์ม ชุดราตรี ปักมุก หรือชุดลำลอง ส่วนเรื่องเนื้อผ้า…สามารถสั่งได้ทุกชนิดค่ะ จะผ้าไหม ผ้าชีฟอง ผ้ายืด ผ้าเครป หรือต้องการแบบไหนก็แจ้งรายละเอียดมาได้”
“มีตัวอย่างผ้าให้เลือกมั้ย” เขาถาม ดวงตาคู่คมหลุบลงมองริมฝีปากอิ่มนิ่งนานราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
“ค่ะ มีค่ะ มีให้ลูกค้าได้เลือกจนกว่าจะพอใจ ทั้งผ้าไหมลาว ผ้าลินิน ผ้าฝ้าย ผ้าคอตตอน ผ้าเกาหลี ผ้าซีฟอง ผ้าพิมพ์ลาย และอีกมากมายค่ะ เชิญชมทางนี้ค่ะ” หล่อนผายมือเป็นเชิงเชิญให้เขาเข้าไปในห้องห้องหนึ่งซึ่งเป็นที่จัดเก็บตัวอย่างผ้าและตัวอย่างชุดหมายมายหลายลักษณะ แต่ทว่าเขากลับนิ่งเฉย แถมพูดด้วยท่าทางยียวนชวนให้หล่อนนึกโมโห
“ไม่ต้องหรอก ผมแค่ถามไปงั้นๆ นอกจากชุดแต่งงานแล้ว ผมก็ไม่สนใจชุดอย่างอื่นอีก”
“ค่ะ…งั้นขอวัดตัวคุณด้วย”
“เชิญ” ชายหนุ่มแบมือออกข้างลำตัว ดวงตามีรอยกริ่มๆยามเมื่อมือเรียวยื่นเสื้อผ้าให้เขา
“ชุดที่คุณสวมมันหนาเกินไป ช่วยเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าเนื้อบางนี่ด้วยนะคะ จะได้สะดวกๆค่ะ” หล่อนบอก คิ้วเรียวขมวดนิดๆเมื่อปลายนิ้วของคนที่เอื้อมมารับผ้าสัมผัสมือหล่อนอย่างตั้งใจและอ้อยอิ่งจนหญิงสาวต้องเป็นฝ่ายชักมือกลับมา…ต่อให้รูปหล่อและมีเสน่ห์มากแค่ไหน แต่ถ้าทำตัวเจ้าชู้ทั้งๆที่ใกล้จะแต่งงานอยู่รอมร่อ หล่อนก็ไม่ชอบทั้งนั้น..
เทโรนี่ยิ้มนิดๆที่มุมปากอย่างรู้ทันความคิดของคนตรงหน้า เขาฮัมเพลงภาษาอังกฤษในลำคอเบาๆอย่างรื่นรมย์ก่อนจะเดินเข้าห้องลองชุด ทิ้งให้สกุณายืนตีหน้างอหงิกอยู่เพียงลำพัง
เจอกันแว่บแรก…หล่อนชื่นชมในหน้าตาและน้ำเสียงของเขา แต่นาทีถัดมา…หล่อนกลับไม่พอใจเขาอย่างแรงที่เขาทำท่าเจ้าชู้ใส่ทั้งๆที่มีคู่หมายอยู่แล้ว
เสียงอรชรซึ่งเป็นพนักงานคนหนึ่งในร้านดังขึ้นพร้อมร่างอวบอ้วนที่วิ่งตุบตับเข้ามา ทำให้หล่อนต้องหันไปมอง
“คุณนีน่าคะ เมื่อกี้นี้ ฉันไปส่งเสื้อให้ลูกค้า บังเอิญเห็นคุณพ่อของคุณนีน่ากินเหล้าอยู่ในร้านเหล้าค่ะ ทีแรกจำแทบไม่ได้ว่าเป็นพ่อของคุณ”
สกุณาหน้าเคร่งขึ้นมาชั่วแว่บหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าปกติ หล่อนพูดเพียงว่า
“มันเป็นเรื่องปกติสำหรับคุณพ่อไปเสียแล้ว”
“ไม่คิดจะไปดูหน่อยเหรอคะ”
“ไม่ล่ะ” ใช่…หลายๆคนอาจจะมองว่าหล่อนเห็นแก่ตัวที่ใจดำต่อบิดาบังเกิดเกล้า แต่ใครเล่าจะรู้ดีเท่าหล่อนว่าพ่อเป็นคนอย่างไร
แม่ให้การศึกษา แต่พ่อคอยแต่ดุด่า
แม่ให้ความรัก แต่พ่อกลับเอาแต่เสเพลและหันไปทุ่มเทความรักให้บรรดาผู้หญิงอื่น
ทุกครั้งที่มีความสุขและทุกข์ คนเดียวที่หล่อนจะเห็นหน้านั่นก็คือ…แม่…น้ำใจที่ไม่มีวันเหือด ผิดกับคนเป็นพ่อมอบแต่ความโหดร้ายให้กับครอบครัวนับตั้งแต่หล่อนจำความได้
คนดีๆเช่นแม่กลับอายุสั้น สิ้นใจไปตั้งแต่อายุเพียง42 พร้อมคำสอนที่แม่บอกหล่อนก่อนตาย
“แม่รักลูก ลูกรัก…ลูกรู้ใช่ไหมคำว่าสกุณาหมายถึงอะไร นกน้อยที่สามารถโผบินได้อย่างอิสระ ชีวิตลูกไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ใคร อย่าให้คนคนนั้นเอาสถานะของความเป็นพ่อมาบีบคั้นลูกให้อยู่แต่ในกรงล้อมรอบด้วยกรอบของความเห็นแก่ได้จากผู้ชายคนนั้น ฟังนะสกุณา…ลูกจะต้องโบกบินบนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ แม่ตามดูแลปกป้องลูกไปตลอดไม่ได้ ลูกต้องยืนหยัดได้ด้วยขาของตัวเอง อย่าหวังพึ่งผู้ชาย จงฉลาด…อย่าโง่ จงรู้เท่าทันคนอื่น…อย่าฝึกเป็นผู้ตามจนเคยตัว แม่จะคอยมองดูลูกอยู่บนฟ้า”
“แต่แม่ขา…นีน่าไม่คิดจะมีคู่ชีวิตหรอกค่ะ เพศชายเป็นเพศที่น่ากลัว นีน่าไม่อยากเป็นแบบแม่”
“สกุณาลูกรัก” มือเหี่ยวผ่ายผอมลูบประโลมศีรษะทุยสวยอย่างแสนรักใคร่ รอยยิ้มที่แม่มอบให้..ดูจริงใจกว่ารอยยิ้มของใครๆที่หล่อนเคยได้รับ “เพราะลูกยังไม่เจอคนที่ใช่ ลูกจึงปฏิเสธที่จะใช้ชีวิตคู่กับเพศตรงข้าม แต่ถ้าวันใด ลูกได้เจอใครคนนั้น จงอย่าปล่อยให้พลาดโอกาส ยึดเขาไว้แน่นๆ มนุษย์เกิดมาจำต้องมีคู่ครอง ได้คู่ดีก็นับว่ามีบุญ”
“แต่ถ้ามีคู่แย่ๆก็เหมือนมีบาป นีน่าไม่อยากเสี่ยง”
“ชีวิตเราต้องเจอความเสี่ยงนับครั้งไม่ถ้วน วันใดที่ไม่มีอะไรให้ต้องเสี่ยงอีกก็คือวันที่สิ้นสุดลมหายใจ…เหมือนแม่ในตอนนี้ที่เวลานั้นใกล้จะมาเยือนเต็มทน จึงได้แต่สอนลูก”
“แม่อย่าพูดแบบนั้นสิคะ แม่ต้องอยู่กับนีน่าไปนานๆ นีน่าไม่ให้แม่ไปไหนนะ” น้ำตาพร่างพรูจนตาพร่ามัว แต่สิ่งที่ได้รับก็ยังคงเป็นมือข้างนั้นที่แสบอบอุ่น ลูบผมหล่อนไปมาแล้วเช็ดหยดน้ำใสๆออกจากพวงแก้มให้บุตรสาว
“คนเรา…เมื่อถึงเวลาก็ต้องไปกันทุกคน แม่ถือว่าแม่ใกล้พ้นทุกข์แล้ว จะเป็นห่วงก็เพียงลูกเท่านั้น แม่กลัวว่านีน่าจะซึมซับเอาพฤติกรรมของพ่อมามากเกินไปจนเข็ดขยาดไม่กล้ารักใครอีก”
ความกลัวของมารดาในอดีตเป็นตัวปลุกเร้าให้หล่อนยอมเปิดใจเพื่อรับผู้ชายสักคน ตั้งใจจะแสดงให้แม่ผู้ล่วงลับไปแล้วได้เห็นว่าหล่อนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างผู้หญิงปกติที่มีความรักและสร้างครอบครัวที่อบอุ่นได้ แต่ทว่าชายคนแรกที่ผ่านเข้ามาในชีวิต กลับทำให้หล่อนผิดหวังอย่างถึงที่สุด ไม่เพียงแต่คบหาหล่อนเท่านั้น เขายังคบกับใครต่อใครอีกหลายคน มิหนำซ้ำยังบอกเพื่อนๆว่าที่คบผู้หญิงเชยๆอย่างหล่อนก็เพราะว่า…หากแต่งงานกันไป หล่อนคงเป็นอีกแรงที่ช่วยทำเงินให้
ความผิดหวังที่ได้รับ ทำให้หล่อนตัดสินใจถอยออกมายืนอยู่ม่านหลังแห่งความมืดอีกครั้ง หากก้าวไปสู่แสงสว่างแล้วต้องพานพบกับความเจ็บปวด สู้เก็บใจไว้รักตัวเองแล้วอยู่เป็นโสดต่อไปเสียยังจะดีกว่า
ผู้ชายทุกคนล้วนแล้วแต่เห็นแก่ตัว มักมากในกามารมณ์ไม่มีที่สิ้นสุด ชายที่รักเดียว…ต่อให้พลิกแผ่นดินหาก็คงไม่เจอ
ความเจ็บช้ำที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นความคิดคำนึงถึงกับหยุดชะงักลงเมื่อแก้วประสาทหูได้ยินเสียงอรชรเรียก
“คุณนีน่าคะ มีคนเรียกแน่ะค่ะ ยืนเหม่อเชียว”
หล่อนกระพริบตาปริบๆเพื่อฉุดรั้งความคิดให้กลับคืนสู่ปัจจุบัน…หันไปทางห้องลองเสื้อ เห็นมือแข็งแรงยื่นออกมากวักเรียก หยอยๆ พร้อมเสียงทุ้มที่เอ่ยเรียก
“มิสสกุณา มานี่หน่อย ผมมีอะไรให้ช่วย”