บทนำ
บทนำ
ดวงหน้ารูปไข่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเพื่อเติมสีสัน กรอบหน้าถูกเฉดให้ดูมีมิติ ดวงตากลมโตทาด้วยสีอ่อน ขนตายาวถูกปัดให้งอนมากกว่าเดิม มีประกายวิบวับที่หัวตา จมูกโด่งแต้มปลายเพิ่มเงา แก้มนวลปัดเป็นสีอ่อน ปากรูปกระจับทาทับด้วยสีที่รับกับโหนกแก้ม แล้วใส่ความแวววาวเข้าไปให้ดูสวยงาม
เธอส่องกระจกอีกครั้งพลางจับผมที่ถูกมัดรวบเป็นมวยต่ำ ชุดแต่งงานแบบเกาะอกที่รัดแน่นเน้นทรวงทรงองค์เอว กระโปรงฟูฟ่องขนาดยาวคล้ายหางปลา สวมรองเท้าส้นสูงพื้นสีแดงที่ราคาแสนแพง ค่อยลุกจากเก้าอี้เมื่อหยิบขนมมากินได้หนึ่งชิ้น แล้วรู้สึกว่ากินไม่ค่อยถนัด
ช่วงเช้าผ่านพิธีหมั้นเรียบร้อย แหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายบอกได้เป็นอย่างดีว่าหล่อนมีคนจับจองแล้วหลังจากใฝ่ฝันอยากให้ถึงวันนี้มีหลายปี
ความสุขเอ่อล้นจนแสดงออกทางแววตา ทำให้เพื่อนสนิทที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามาต้องยิ้มกริ่ม มองเจ้าสาวคนสวยพลางเอ่ยชมไม่ขาดปาก
“สวยมากกกกก ทุกวันก็สวยอยู่แล้วแต่วันนี้แกสวยคูณสิบไปเลย ฉันไม่เคยเห็นเจ้าสาวคนไหนสวยเท่าแกมาก่อน เพื่อนรัก...ขอกอดหน่อย” อ้าแขนกว้างเพื่อจะได้โอบกอดคนที่อยู่เคียงข้างมาหลายสิบปี เผชิญเรื่องราวทั้งดีและร้ายร่วมกัน ไม่คิดว่าจะถึงวันที่อีกฝ่ายสละโสด ก้าวข้ามชีวิตอันแสนโดดเดี่ยว
“แกก็พูดเวอร์ แต่เอาจริงฉันมองกระจกแล้วก็รู้สึกว่าน่าจะไปประกวดนางงามมากกว่าเก็บตัวในร้านนะ ต้องให้คนทั่วโลกได้เห็นความสวยของฉันสักหน่อยแล้วล่ะ” หญิงสาวรีบเดินเข้าไปกอดเพื่อน พลางเอ่ยชมตนเองไม่ขาดปาก
เหมือนเป็นเรื่องปกติที่จะชมอีกฝ่ายเพิ่มกำลังใจให้แก่กันและกัน ทว่าก็มีความจริงใจอยู่ในนั้นไม่ได้เสแสร้งมากจนเกินไป
“จ้า แม่คนสวย...แกจะเติมปากอีกไหม เอาขนมหรือเปล่า หิวไหม” ผละออกแล้วถามด้วยความเป็นห่วง
งานแต่งของนิรดา ป่านวิถีกับพงพนา วิลเลี่ยม คาร์ลถูกจัดขึ้นที่โรงแรมชื่อดัง ทั้งพิธีหมั้นช่วงเช้าและฉลองมงคลสมรสช่วงเย็น ไหนจะจองห้องพิเศษไว้สำหรับเป็นห้องหอคืนนี้อีก สามีของหล่อนทุ่มเงินเป็นจำนวนมากกับงานครั้งนี้
ญาติฝ่ายเจ้าบ่าวไม่อาจมาทันวันงาน จึงเชิญคนรู้จักอย่างหัวหน้าพรรคการเมืองฝ่ายค้านมาเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายชาย แม่ของเขาน่าจะมาทันฤกษ์ส่งเข้าหอพอดี หล่อนก็เพิ่งทราบว่าเขารู้จักคนใหญ่คนโตและมีเงินมากมายขนาดนี้
“ไม่เอาหรอก ฉันกินอีกคือหายใจไม่ออกแล้วนะ แต่เติมปากหน่อยดีกว่า...รู้สึกอยากให้สีสดกว่านี้หน่อย เวลาพี่ป่าจูบฉันท่ามกลางผู้คนปากเขาจะได้ออกสีระเรื่อด้วย” จับหน้าท้องของตนพลางผ่อนลมหายใจออก คิดว่าเวลาสองชั่วโมงในงานแต่งคงไม่นาน เดี๋ยวก็ได้ถอดชุดออกแล้ว
ตอนนี้ต้องใส่เพื่อความสวยในการถ่ายรูป แต่ก็อดจะหยิบขนมชิ้นเล็กมากัดเข้าปากไม่ได้ พลางเดินไปหน้ากระจกแล้วเติมสีลิปสติก จินตนาการอย่างมีความสุขว่าพวกเราได้จุมพิตบนเวทีท่ามกลางสายตาร้อนผ่าวด้วยความอิจฉาของแขกที่มาร่วมงาน
“โอ้โห คิดเผื่อเจ้าบ่าว...แกจูบเขากี่รอบแล้วเถอะ ยัยผู้หญิงคลั่งรักแฟน” หยอกล้อพลางส่ายศีรษะยามคิดถึงตอนที่เพื่อนสนิทติดแฟนจนยกเลิกนัดตนหลายรอบ เรียกว่าสองคนนี้ตัวติดกันยิ่งกว่าแฝด
โดยเฉพาะนิรดาเปลี่ยนเป็นสาวหวานพูดจาน่ารักตลอดเวลายามอยู่กับพงพนา คนโสดเห็นแล้วรู้สึกเลี่ยนเป็นอย่างมาก
“อ่ะแน่นอนสิ ไม่ให้รักแฟนแล้วจะให้รักใครล่ะ ฉันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้แต่งงานกับเขา ฉันกับพี่ป่าเหมือนพรหมลิขิตเลยว่าไหม มีความสุขจังเลย ฉันอยากมอบความสุขให้แกต่อ แกต้องแต่งงานต่อจากฉันนะ” เม้มปากเมื่อเติมสีลิปสติกให้เข้มกว่าเดิม ส่องกระจกดูความเรียบร้อยแล้วเหลียวมามองคนที่กำลังหยิบคุกกี้ชิ้นเล็กกิน
“เรื่องอะไรจะหาห่วงผูกคอ ฉันอยู่คนเดียวแบบนี้มีความสุขจะตาย...”
“ลองแกมีแฟนจะรู้ว่ามีคนคอยร่วมสุขร่วมทุกข์กับเราดีกว่าเป็นร้อยเท่า เวลามีเรื่องก็คิดถึงเขาคนแรก มีความสุขก็อยากแบ่งปันกับเขา...ฉันชอบความรู้สึกของตัวเองตอนอยู่กับพี่ป่ามาก” สุดท้ายก็วกกลับมาที่เรื่องตนกับเจ้าบ่าว แววตาเป็นประกายจนไม่อยากเอ่ยขัด จำต้องพยักหน้าเออออตามนั้น
สองคนนี้คบกันก็มีหวานบ้างทะเลาะบ้าง ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีปากเสียงกันหรอก ฝ่ายชายตามใจจะตายไป ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้
“เดี๋ยวฉันไปหาเขาก่อนดีกว่า...มีสร้อยจะให้เขาก่อนเข้างานด้วย เผื่อสร้อยจะซึมซับพลังแห่งความรักเข้าไปข้างใน” คิดพลางหยิบกล่องสี่เหลี่ยมที่ตนเป็นคนทำเองกับมือมาถือไว้ ยิ้มหวานยามจ้องมองมันแล้วเอ่ยสิ่งที่ทำให้เพื่อนต้องเหลือบตามองบน
“ฉันว่าแกดูพวกซีรีส์จีนเทพเซียนมากเกินไปนะ สร้อยธรรมดามันจะไปดูดซับอะไรได้ เฮ้อ...แกอยากไปเจอหน้าเขามากกว่าน่ะสิ”
ช่วงนี้ร่างบางติดดูซีรีส์จีนมากจนเอ่ยปากขอเจ้าบ่าวแต่งเป็นธีมเทพเซียนบนสวรรค์ เล่นเอาพงพนาห้ามไว้แทบไม่ทัน
“สมกับเป็นเพื่อนรักมากกว่าสิบสามปีของฉัน รู้ใจไปหมดทุกอย่าง...งั้นฉันไปก่อนนะเดี๋ยวจะรีบกลับมา” ขยิบตาข้างหนึ่งแล้วรีบเดินแกมวิ่งไปทางประตู มือก็ยกกระโปรงยาวขึ้นถือเพื่อไม่เกะกะระหว่างเดิน แต่เหมือนคิดบางอย่างออกจึงเดินกลับมายังโซฟายาว
“อ่ะ เอาโทรศัพท์ไปถ่ายรูปด้วยดีกว่า ไว้เก็บโมเม้นของฉันกับพี่ป่า” หยิบเครื่องมือสื่อสารมาถือเอาไว้ ไม่วายยิ้มกว้างให้คนที่กอดอกมอง
“จ้า รีบกลับมาล่ะ อย่าไปเอ้อระเหยไม่ยอมกลับ แล้วปากน่ะ...ห้ามเปื้อน! เข้าใจไหม” เตือนในเรื่องควรระวัง เจอแฟนทีไรเป็นต้องปากเจ่อทุกที ไม่รู้จะติดสกินชิพอะไรขนาดนั้น
“เข้าใจแล้วน่า...ฉันจะพยายามจูบปากเขาไม่ให้ลิปเลอะ” กำลังจะปิดประตูก็เปิดเข้ามาพลางบอกเพื่อนเสียงเบา แล้วหัวเราะยามคิดว่าตนเองชักจะก๋ากั่นมากเกินไปแล้ว สร้างความระอาให้แก่นาถฤดีเป็นอย่างมาก
“หมดคำจะพูดกับแกจริงๆ” ทำได้แค่พึมพำแล้วมาเติมหน้าตัวเองบ้าง เธอเป็นเพื่อนเจ้าสาวจึงสวมชุดเดรสสาวเดี่ยวสีหวานตามคำขอของนิรดา มันหวานเกินไปสำหรับคนที่ชอบใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ แต่เพราะเป็นคำขอของเพื่อนสนิท จึงยอมทำตามโดยดี
เจ้าสาวแอบออกจากห้องของตัวเอง แล้วเหลือบซ้ายมองขวาไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่าแอบไปหาเจ้าบ่าวเพราะทนคิดถึงไม่ไหวทั้งที่ตอนเช้าก็เจอกัน
ความรู้สึกของเธอคงเป็นอย่างที่เพื่อนบอก...อาการคลั่งรักว่าที่สามีจนไม่ลืมหูลืมตา
มีความสุขทุกครั้งที่ได้เจอ ผ่อนคลายตอนได้พูดคุยหรือแบ่งปันเรื่องราวระหว่างวันแก่กัน อิ่มเอมใจยามเขาจ้องมองด้วยแววตาเปี่ยมรัก ทุกอย่างมันทำให้นิรดาไม่อาจถอนตัวจากหลุมรักได้เลย
“พี่ป่า...พี่ป่า...หนูมาหาแล้ว..” พึมพำเสียงตื่นเต้นยามมาถึงหน้าห้องของเขา จับลูกบิดแล้วหมุนเสียงเบาอยากเซอร์ไพรส์อีกฝ่าย แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปก็ต้องสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงคนตะโกน พร้อมกับประโยคที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน
“ป่าเลิกหลอกตัวเองได้แล้ว! เราต้องการให้ป่ายกเลิกงานแต่งครั้งนี้ซะ ก่อนที่ทุกอย่างมันจะเลยเถิดจนแก้ไขไม่ได้” นั่นมันเสียงคนที่เธอรู้จักมาอย่างดี พอลอบมองเข้าไปข้างในเห็นแผ่นหลังและชุดที่อีกฝ่ายสวมก็ทราบทันทีว่าเป็นใคร
“ทำไมฉันต้องยกเลิก ฉันไม่ทำ...” เห็นเพียงเสี้ยวหน้าคมเท่านั้นแม้จะพยายามส่องเข้าไปข้างในมากเท่าไหร่ก็ตาม
หัวใจดวงน้อยสั่นไหวไม่เข้าใจว่าสองคนนี้กำลังพูดเรื่องอะไรกัน มือที่จับกลอนประตูสั่นไหวจนต้องกำมันไว้แน่น พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกความมั่นใจให้ตัวเองว่าเรื่องที่สองคนนี้พูดคงไม่เกี่ยวกับหล่อนหรอก
“ได้ ถ้างั้นเราจะไปบอกนิวกับเรื่องทุกอย่างที่ป่าทำ ให้รู้ไปเลยว่าป่าเป็นแฟนเก่าเรา เข้ามาตีสนิทกับนินิวเพราะต้องการแก้แค้นเรากับพี่เชน ให้นิวตัดสินใจว่ายังอยากแต่งงานอยู่อีกหรือเปล่า เอาไหม ป่าจะเอาแบบนั้นไหม”
ทว่าหล่อนก็ต้องตกใจเบิกตากว้างเมื่อได้ทราบความจริงโดยไม่ทันตั้งตัว สิ่งที่เคยสงสัยแต่ปัดมันออกจากความคิด ไม่อยากให้กระทบความสัมพันธ์ แต่ไม่คิดเลยว่าความจริงที่เผชิญตอนนี้ กระทบกระเทือนจิตใจจนลำตัวแข็งทื่อ
“อย่าเอานิวเข้ามายุ่งด้วย”
“ทำไมจะทำไม่ได้ ไหนบอกว่าที่แต่งงานเพราะความรักไง รักก็บอกความจริงไปสิ เก็บเอาไว้ทำไมล่ะ” หล่อนมองเขาที่คว้าแขนฝ่ายหญิงเข้ามาบีบ ความสุขหายไปในพริบตาเดียว
“ฉันจะทำยังไงมันก็เรื่องของฉัน”
“หึ แล้วบอกว่ารัก...แค่ความจริงยังบอกไม่ได้ ป่าไม่ได้รักนิวหรอก ป่าแค่เข้ามาหาเขาเพราะอยากทำร้ายเรามากกว่า พอใจหรือยังล่ะ ทำทุกอย่างสำเร็จแล้วไม่ใช่เหรอ” ขาเรียวอ่อนลงเมื่อได้ยินอย่างนั้น ภาพในวันวานค่อยผุดขึ้นเรื่อยๆ
วันที่เขาเข้ามาหา...ทุกอย่างคือแผนที่ถูกวางเอาไว้แล้วใช่ไหม
หล่อนไม่ฉุกคิดเลยว่าทำไมคนรวยระดับนั้นจึงได้เดินเข้าร้านแหวนระดับปานกลาง ไม่ใช่ร้านหรูที่อยู่บนห้างสรรพสินค้า เธอก็แค่หมากในเกมกระดานของพงพนาเท่านั้น
มันไม่ใช่ความรักอย่างที่คิดฝัน เขากำลังหลอกลวงเธอ...ก้มมองชุดเจ้าสาวและกล่องสีน้ำเงินที่กำเอาไว้ในมือ น้ำตาเอ่อคลอค่อยไหลเปื้อนใบหน้า โดยที่หล่อนไม่สนใจว่ามันจะทำให้เครื่องสำอางหลุดหรือเปล่า
งานแต่งวันนี้มันพังลงแล้ว...
“ใช่ มันสำเร็จแล้ว...แต่มันยังไม่สะใจ”
“ฉันอยากให้เธอเจ็บกว่าที่ฉันเคยเจ็บ เสียใจมากกว่าที่ฉันเคยเสียใจ ร้องไห้จนรับรู้ถึงความรู้สึกของคนถูกกระทำ แค่นี้กับสิ่งที่ฉันเคยเจอมันยังไม่พอ!” เสียงตะโกนสุดท้ายของเขาดังก้องในหูนิรดา ศีรษะมนส่ายไปมาไม่ยอมรับความจริง ปิดประตูเสียงเบาแล้วยกมือขึ้นปิดปากตนเองไม่ให้เสียงเล็ดลอด
ค่อยก้าวเท้าไปยังบันไดหนีไฟอย่างเชื่องช้า...นั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นด้วยความเจ็บปวดไม่คิดฝันว่าตนต้องตกเป็นเครื่องมือในแผนการของคนรัก
ที่ผ่านมาเขาไม่เคยรักเธอเลยเหรอ ทุกอย่างมันคือการแสดงละครของพงพนามาโดยตลอดใช่ไหม แล้วจะมาขอแต่งงานทำไม มาทำให้รักขนาดนี้ทำไม
ถ้าสุดท้ายคิดจะทิ้งกัน...