บทที่ 10
ปวรุตม์รู้สึกสะอาดสดชื่นขึ้นหลังจากที่ได้ชำระคราบโคลนออกจากตัว เขาเพ่งมองไปยังบ้านหลังสีขาวอีกครั้ง คิ้วเข้มหนาขมวดเข้าหากันด้วยความแปลกใจเมื่อบ้านพักของนารามืดสนิทเหมือนไม่มีใครอยู่ในบ้าน สีหน้าของปวรุตม์เป็นกังวล เป็นห่วงว่านาราจะเหนื่อยหลับไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทานข้าวเย็น
ปวรุตม์ถือเครื่องแบบที่เลอะโคลนติดมือมาด้วยแล้วสาวเท้ายาวๆ เดินไปยังบ้านพักของนารา สารวัตรหนุ่มถึงกับส่ายหน้าอย่างหนักใจเมื่อจับประตูรั้วแล้วผลักให้เปิดออกได้อย่างง่ายดาย
“ทำไมไม่รู้จักล็อกรั้วบ้านก่อน แบบนี้โจรขโมยก็เข้าบ้านได้สบายๆ”
ปวรุตม์บ่นงึมงำเดินไปเคาะประตูบ้านหนักๆ โดยไม่เกรงใจเจ้าของบ้าน
“นารา! ยายนาราอยู่หรือเปล่า” ปวรุตม์ตะโกนเรียกนาราเสียงดัง มือใหญ่แข็งแรงทุบประตูไม่เลิก
นีนนาราสะดุ้งเฮือกตกใจตอนที่ได้ยินเสียงทุบประตูบ้านพร้อมกับเสียงห้าวดุๆ ที่กำลังตะโกนเรียกดังลั่นจนได้ยินทั่วทั้งคุ้ง หญิงสาวยกมือปาดน้ำตาให้เหือดแห้ง เธอเปิดไฟหน้าบ้านแล้วเดินไปกระชากประตูบ้านเปิดออกกว้างจนเห็นร่างสูงใหญ่ของสารวัตรปากจัดยืนจังก้าทำหน้าบึ้งยังกับยักษ์วัดแจ้ง
“เข้าบ้านแล้วทำไมไม่รู้จักล็อกประตูรั้วให้แน่นหนา แบบนี้ถ้ามีโจรเข้ามาสงสัยได้ถูกฆ่าหมกบ้าน” ปวรุตม์เอ่ยต่อว่าเสียงเข้มจนนาราถึงกับอ้าปากค้าง
“โจรนะไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่หรอก จะกลัวก็อีตาตำรวจปากจัดที่มายืนด่าอยู่นี่แหละ”
นีนนาราแขวะกลับด้วยความโมโห สูดสะอื้นจากการร้องไห้เมื่อสักครู่เข้าปอดลึกๆ
“เป็นอะไร ทำไมตาแดงแล้วก็บวมด้วย” ปวรุตม์เอ่ยถามทั้งๆ ที่พอจะเดาได้ว่านาราเพิ่งผ่านการร้องไห้มาแน่นอน
“ตาแดงเพราะร้องไห้”
นีนนาราตอบห้วนๆ จนปวรุตม์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก็เธอไม่ใช่นางเอกหนังไทยนี่ ที่จะได้บอกว่าตาแดงเพราะฝุ่นหรือแมลงเข้าตา
“ร้องไห้ทำไม”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามอ่อนลงทันทีอยากจะเอื้อมมือไปเช็ดคราบน้ำตาที่ยังมีให้เห็นตรงหางตาออกจากดวงตากลมโต
นีนนาราเม้มริมฝีปากไว้แน่นก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงติดจะสั่นเครือ
“กำลังนึกถึงความโง่เขลาของตัวเองตอนที่ถูกพี่รุตปฏิเสธความรัก” นีนนาราเอ่ยตอบตรงๆ แบบไม่ต้องอ้อมค้อม
สารวัตรปวรุตม์ถึงกับหน้าถอดสีเมื่อเจอคำพูดแดกดันถากถางของนารา เขารู้ว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างบาดแผลให้กับนาราลึกนัก
แต่...ใช่ว่านาราคนเดียวที่เจ็บปวด เขาเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กับเด็กสาว เขายังจำสีหน้าและแววตาที่เผยความเสียใจของนาราได้ติดตา อยากจะเอ่ยขอโทษและปลอบโยนให้เด็กสาวหายเสียใจ แต่เมื่อเขาออกมาจากห้องทำงานพยายามเดินหาเด็กสาวทั่วบริเวณบ้านก็ไม่พบเมื่อถามน้องสาวเขาถึงได้รู้ว่าครอบครัวของนีนนารากลับบ้านไปนานแล้ว
นีนนาราเห็นปวรุตม์เม้มริมฝีปากแน่นก็เบือนหน้าหนีแอบยิ้มอย่างสะใจ ต่อไปนาราจะทำให้พี่รุตเจ็บกว่านี้อีก
“พี่รุตมีอะไรจะให้นาราช่วยหรือเปล่าคะ”
นีนนาราหันมายิ้มทั้งสีหน้า จ้องมองคนตัวใหญ่ด้วยนัยน์ตาหวานเยิ้มเอ่ยถามเสียงนุ่มนวลจนปวรุตม์สะท้านไหว
ปวรุตม์โยนเครื่องแบบตำรวจในมือไปบนศีรษะกลมทุยที่ปกคลุมด้วยเส้นผมยาวเงางาม รอยยิ้มปรากฏตรงมุมปากตอนที่ยายตัวแสบคว้าเครื่องแบบออกจากศีรษะ นาราทำหน้ามุ่ยบึ้งตึงมองปวรุตม์ทีมองเครื่องแบบในมือที ปวรุตม์หัวเราะร่วนเสียงดังมองใบหน้างามที่เต็มได้ด้วยเครื่องหมายคำถาม
“เธอเป็นคนผลักพี่ตกน้ำ เพราะฉะนั้น...เธอต้องซักเครื่องแบบให้พี่” ปวรุตม์เฉลยข้อสงสัยให้อีกฝ่าย
“ก็ได้ ซักให้ก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าพี่รุตต้องมากินข้าวเย็นกับนาราทุกวัน”
นีนนารายิ้มเจ้าเล่ห์เอ่ยต่อรองกับปวรุตม์ ดวงตากลมโตเต้นระริกขบขำจ้องมองคนตัวใหญ่อย่างรอคอยคำตอบ
“ได้ ไม่มีปัญหา แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าเธอต้องซักให้สะอาดและก็รีดให้เรียบด้วย” สารวัตรหนุ่มเอ่ยย้ำ ยังไม่รู้ตัวว่าตนเองตกหลุมพรางที่นาราดักล่อไว้
“ไม่มีปัญหาเหมือนกัน จะรีดให้เรียบ อัดกลีบให้คมยิ่งกว่าปากของใครบางคนเลยแหละ”
นีนนาราประชดเสียงดังไม่สนใจปวรุตม์ที่กำลังถลึงตามองมาดุๆ ร่างบางระหงเดินไปหยิบกะละมังและเปิดน้ำลงไปครึ่งกะละมังเทผงซัก
ฟอกลงไปกำมือตีน้ำจนเกิดฟองเต็มกะละมังจากนั้นก็โยนเครื่องแบบลงไปจนฟองผงซักฟอกแตกกระจายกระเด็นไปโดนคนตัวใหญ่ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
“นารา! ซักนะ ไม่ใช่สะบัดแล้วตาก” ปวรุตม์กัดฟันกรอดๆ โมโหคนตัวเล็กที่แกล้งเขาตลอดเวลา
“เฉยเถอะคุณตำรวจ เดี๋ยวนาราจะจัดการให้”
นีนนาราสั่งปวรุตม์เสียงเข้มทำเป็นก้มหน้าก้มตาซักเครื่องแบบในกะละมัง แต่จริงๆ แล้วใบหน้างามก้มลงเพื่อซ่อนรอยยิ้ม หางตาแอบมองปวรุตม์ซึ่งกำลังทำหน้างิกหน้างอแล้วเดินกระแทกส้นเท้าไปนั่งรอตรงม้าหินอ่อน
ในชีวิตของสารวัตรหนุ่มเคยเป็นแต่เจ้าคนนายคนออกคำสั่งกับคนอื่นจนเคยชิน แต่เมื่อมาเจอน้ำเสียงดุๆ นัยน์ตากลมโตที่มองค้อนตาคว่ำก็ทำให้สารวัตรหนุ่มงอได้เหมือนกัน
ปวรุตม์นั่งเงียบรอจนนาราซักเครื่องแบบตำรวจและตากเรียบร้อย รู้สึกพอใจผลงานของนาราอยู่มาก ตอนแรกเขานึกว่าลูกคุณหนูอย่างนาราจะซักเสื้อผ้าไม่เป็นด้วยซ้ำ
“เรียบร้อยแล้วค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้นาราจะรีดให้เรียบเลย”
นีนนารายิ้มหวานเมื่อซักเครื่องแบบเรียบร้อยแล้ว ร่างบางระหงเดินมาทรุดตัวลงนั่งติดกับร่างสูงใหญ่กำยำแล้วแกล้งนั่งเบียดจนปวรุตม์ต้องเขยิบหนีแทบจะตกจากม้านั่งหินอ่อน นาราแอบซ่อนรอยยิ้มพลางเอ่ยถามเสียงหวาน
“พี่รุตหิวข้าวหรือยังคะ”
“หิว!”
ปวรุตม์กัดฟันตอบยิ่งถอยหนีเท่าไหร่ ร่างนุ่มๆ หอมกรุ่นก็ยิ่งเขยิบเข้ามาเบียดจนสติสัมปชัญญะของเขาแทบกระเจิง
“พี่รุตผูกปิ่นโตกับป้าแย้มเมียลุงผิวหรือเปล่าคะ”
“ฮื้อ!” ปวรุตม์ตอบรับในลำคอรู้สึกร้อนรุ่มจนต้องลุกขึ้นยืนเดินออกมาอยู่ห่างๆ จากนารา
“ป้าแย้มคงจะมาแล้ว เดี๋ยวนาราไปเตรียมจานก่อนนะคะ”
นีนนาราเอ่ยบอกยิ้มๆ แล้วรีบวิ่งเข้าไปในตัวบ้านพอเข้ามาถึงห้องครัวนาราก็ปล่อยหัวเราะออกมาด้วยความขบขำ
“ฮึ! ทำเป็นหนีไปเถอะพี่รุต นาราไม่ปล่อยพี่รุตไปง่ายๆ หรอก”
นีนนาราขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วรีบเตรียมจานชามพอเดินออกมานอกบ้านก็เห็นปิ่นโต2 เถาวางอยู่บนโต๊ะหินอ่อน
“ป้าแย้มกลับแล้วหรือคะ” นาราเอ่ยถามพลางจัดกับข้าวที่ป้าแย้มเอาส่งใส่จาน
“กลับแล้ว” ปวรุตม์เอ่ยตอบมือใหญ่หยิบกับข้าวหน้าตาแปลกๆ แต่กลิ่นชวนน้ำลายส่อขึ้นมาดม
“อะไรเหรอนารา” ปวรุตม์ยื่นกับข้าวให้นาราดูแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“จะให้บอกก่อนที่จะทานข้าวหรือว่าหลังจากทานข้าวเสร็จแล้วคะ”
นีนนาราเอ่ยถามกลั้วหัวเราะตักกับข้าวที่ปวรุตม์เอ่ยถามใส่ปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ด้วยความเอร็ดอร่อย ปวรุตม์เห็นนาราตักกับข้าวกินก็ตักกินบ้าง
“อืม...อร่อยเหมือนกันนะ” ปวรุตม์เอ่ยชมพลางตักมากินอีกคำ
นาราอมยิ้มแก้มแทบปริมือบางหยิบแมงสีดำๆ ที่ชุบแป้งแล้วทอดจนเหลืองกรอบยื่นให้ปวรุตม์ชิมบ้าง
“พี่รุตลองทานอันนี้ดูสิคะ อร่อยนะโปรตีนเยอะด้วย”
นีนนาราเอ่ยถึงสรรพคุณของอาหาร ปวรุตม์เอื้อมมือจะหยิบแมงที่นารายื่นให้ แต่นารายิ้มหวานแล้วส่ายหน้าปฏิเสธเอาแมงสีดำๆ ไปจ่อใกล้ๆ ริมฝีปากสีสด
สารวัตรปวรุตม์ทำหน้ามุ่ยแต่ก็ยอมอ้าปากรับแล้วแกล้งงับนิ้วเรียวยาวของคนที่ป้อนกับข้าวให้ เขากลืนแมงแปลกๆ ที่รสชาติดีเข้าคอแล้วชี้ไปที่หมกอะไรสักอย่างบนจาน นารามองตามมือของปวรุตม์แล้วอมยิ้มตักหมกมาป้อนปวรุตม์อีกคำใหญ่
“เติมข้าวหน่อยมั้ยคะ”
นีนนาราไม่รอให้ปวรุตม์ตอบรับเธอตักข้าวสวยร้อนๆ ลงไปบนจานปวรุตม์จนพูนจาน
“ตักข้าวมาเสียเยอะ จะขุนพี่ให้อ้วนหรือยังไง”
ปวรุตม์เอ่ยยิ้มๆ ชี้ไปยังกับข้าวที่ต้องการทานแล้วมองนารายิ้มๆ พยักพเยิดให้นาราตักกับข้าวให้
“ไม่อ้วนหรอกค่ะ หุ่นพี่รุตกำลังดี บึกบึนแข็งแกร่งสมเป็นชายชาติชาตรี” นาราเอ่ยชมพลางยิ้มหวานตักกับข้าวให้ปวรุตม์เหมือนใจดี
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงปวรุตม์วางช้อนลงแล้วเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ นารามองตามแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์เอ่ยถามปวรุตม์ด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ
“อิ่มแล้วหรือคะ” นีนนารามองกับข้าวหมดโต๊ะ เกลี้ยงทุกอย่างรวมทั้งข้าวสวยร้อนๆ หนึ่งโถใหญ่
“อิ่มมากๆ พี่ไม่เคยทานข้าวได้เยอะขนาดนี้เลย” ปวรุตม์เอ่ยยิ้มๆ ลูบที่หน้าท้องเบาๆ
“สงสัยเพราะมีนารานั่งทานข้าวด้วยเลยทำให้พี่รุตเจริญอาหาร ทานข้าวได้มากเป็นพิเศษ” นาราเอ่ยชมตัวเองหน้าตาเฉย ไม่สนใจอาการสำลักน้ำดื่มของอีกฝ่าย
“พี่รุตอยากรู้มั้ยคะว่ากับข้าวที่พี่รุตกินไปเขาเรียกว่าอะไรบ้าง” นีนนาราเอียงคอเอ่ยถามกลั้วหัวเราะ
“ไม่อยากรู้” ปวรุตม์ปฏิเสธเสียงแข็ง
“แต่นาราอยากบอกนี่คะ” นีนนาราหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเริ่มไล่เรียงกับข้าวแต่ละอย่างให้ปวรุตม์ฟัง
“กับข้าวที่พี่รุตกินคำแรกเขาเรียกว่าหนูนาคั่วกลิ้ง หายากนะกว่าจะจับมาได้ลุงผิวต้องไปดักหนูนาทั้งคืน อร่อยใช่ไหมละ แต่จริงๆ แล้วหนูนาหน้านี้ไม่ค่อยอร่อยเท่าหน้าเก็บเกี่ยวหรอกคะ ส่วนแมงดำๆ ที่นาราป้อนพี่รุตเขาเรียกว่าแมงกุดจี่ชอบอาศัยอยู่ตามกองขี้ควายที่ขี้ใหม่ๆ ประมาณ 3-4 วัน เวลาไปหาก็เขี่ยๆ หาตามกองขี้ควาย ยิ่งกองใหญ่ยิ่งมีแมงกุดจี่เยอะ”
นีนนาราหยุดเล่าแล้วมองปฏิกิริยาของปวรุตม์นิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามคนที่ทำสีหน้าพะอืดพะอม
“พี่รุตไม่อยากรู้หรือคะว่าไอ้ที่หมกกับใบตองจนหอมกรุ่นเขาเรียกว่าอะไร” นาราเอ่ยถามยิ้มๆ กลั้นหัวเราะจนปวดกรามตอนที่ปวรุตม์แยกเขี้ยวใส่
“จะบอกก็บอกเถอะ” ปวรุตม์กัดฟันพูด
“เขาเรียกว่าฮวก ฮวกเป็นภาษาอีสาน ถ้าภาษาไทยเรียกว่าลูกอ๊อด มันเป็นตัวอ่อนของกบ ถ้ามันสามารถฝ่าฟันศัตรูรอบด้านมาได้โตขึ้นก็จะกลายมาเป็นกบ อ๊บ! อ๊บ!”
นีนนาราปล่อยหัวเราะจนน้ำตาไหลมองนายตำรวจหนุ่มที่ทำหน้ายังกับปูเลี่ยน
“เป็นยังไงคะ คุณศาลาวัดเจอแต่กับข้าวแปลกๆ แบบนี้จะทนอยู่โคกสำราญได้หรือเปล่า” นาราเรียกปวรุตม์อย่างล้อเลียน
“สบายมากแค่นี้เรื่องเล็ก พี่เคยกินอาหารแปลกๆ กว่านี้เยอะ มาคุยเรื่องของเราดีกว่า เป็นไงมาไงถึงมาอยู่โคกสำราญได้” ปวรุตม์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
นีนนาราถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเอ่ยตอบ “เรื่องมันยาวค่ะ”
“พี่ก็ไม่ได้รีบไปไหน”
ปวรุตม์เอ่ยยิ้มๆ มองท้องฟ้าที่สุกใสแพรวพราวด้วยดวงดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า สารวัตรหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกๆ รับอากาศที่บริสุทธิ์เข้าปอด เสียงจักจั่นร้องเรไรดังเซ็งแซ่ทั่วท้องทุ่งอันเงียบสงบในยามค่ำคืนฟังแล้วก็ไพเราะเสนาะหูยิ่งนัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ไม่มีให้ได้ยินแน่นอน
นีนนาราเห็นท่าทางของปวรุตม์แล้วจึงเอ่ยถาม
“บรรยากาศดีใช่ไหมคะ เสียงจักจั่นร้องระงมดังไพเราะกว่าการฟังเพลงในผับในบาร์เป็นไหนๆ ดวงดาวบนท้องฟ้าสว่างสดใสดูสวยงามยิ่งกว่าหลอดไปหลากสีที่ประดับประดาตามบ้านเรือน อากาศก็สดชื่นบริสุทธิ์ไม่มีเขม่าควันเหมือนในกรุงเทพ“
“อืม…อากาศดีจริงๆ มิน่าล่ะ คนต่างจังหวัดถึงมีสุขภาพดีกว่าคนเมืองกรุง นอกจากเหตุผลเหล่านี้แล้วยังไม่เหตุผลอื่นอีกหรือเปล่า”
ปวรุตม์เอ่ยถามไม่เชื่อว่าเหตุผลแค่นี้จะทำให้นาราหนีมาอยู่โคกสำราญได้
“ก็มีค่ะ ตอนอยู่ปี 4 นารามาออกค่ายที่โคกสำราญกับเพื่อนๆ เรามาอยู่ประมาณ2 อาทิตย์ มาสร้างห้องสมุดให้โรงเรียน สร้างโรงเรือนทานข้าวให้กับเด็กๆ นาราเห็นชาวบ้านที่นี่แล้วก็อดที่จะสงสารไม่ได้ บางครอบครัวยากจนมากจนแทบจะไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ เด็กๆ ที่นี่ก็ผอมโซขาดสารอาหารหลายคน ชาวบ้านที่นี่ต้องหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องด้วยการทำผิดกฎหมายรับจ้างตัดป่าให้นายทุนที่อยู่ในตัวเมือง บางคนก็แอบส่งยาบ้า กัญชาหรือเฮโรอีนก็มี ทุกคนรู้ว่าสิ่งที่ทำมันผิดกฎหมายแต่เขาก็ไม่มีทางเลือก เพราะถ้าเขาไม่ทำลูกเมียที่รออยู่ข้างหลังก็อดตาย พี่รุตรู้ไหมคะว่ากว่าที่นาราจะทำให้ชาวบ้านเชื่อใจและเลือกตัดไม้ทำลายป่า เลิกเป็นสายส่งยาก็กินเวลานานหลายเดือน แต่ก็ยังมีชาวบ้านบางกลุ่มที่ไม่ยอมเลิกง่ายๆ”
นีนนาราเอ่ยบอกความจริงแค่บางส่วน เพราะนอกจากสาเหตุเหล่านี้แล้ว เรื่องที่ปวรุตม์มีคนรักเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เธอหนีมาพักใจที่นี่
“พี่ก็พอจะได้ข่าวเรื่องไม้เถื่อนกับเรื่องยาเสพติดเหมือนกัน พี่คงต้องใช้เวลาสะสางคดีสักพักใหญ่ แล้วนารามาอยู่ที่นี่คนเดียวไม่กลัวอันตรายหรือไง การที่นาราไปบอกให้ชาวบ้านเลิกตัดไม้เลิกส่งยามันเป็นการขัดแขนขัดขาผู้มีอิทธิพลนะ”
ปวรุตม์เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงจนทำให้นาราแอบยิ้มพอใจ
“กลัวเหมือนกันค่ะ แต่นาราแอบทำแบบลับๆ ไม่ให้ตัวการใหญ่รู้ตัว ชาวบ้านบางคนเขารู้ว่าผิดก็อยากจะเลิกเหมือนกันเพียงแค่ไม่มีใครคอยแนะนำให้ความช่วยเหลือเขา นอกจากนาราแล้วก็ยังมีลุงผิวที่คอยช่วยเหลือนาราและคอยแวะเวียนมาดูแลนาราเรื่อยๆ พวกพี่ๆ น้าๆ อาๆ ในสภ.ก็คอยมาดูแลนาราตลอด” นีนนาราเอ่ยยิ้มๆ เน้นตรงคำว่าพี่ๆ จนปวรุตม์ต้องหันขวับมาถลึงตามอง
“คงจะหว่านเสน่ห์ไปทั่วละสิ หนุ่มๆ บน สภ.ถึงยอมมาเป็นยามเฝ้าระวังภัยให้” ปวรุตม์เอ่ยประชด
สารวัตรหนุ่มหาได้รู้ตัวไม่ว่าน้ำเสียงที่เอ่ยออกมาติดจะหึงหวงจนนาราจับได้ นาราจ้องมองปวรุตม์แล้วหัวเราะขบขำก่อนจะแกล้งอีกฝ่ายเล่น ขณะที่พูดก็แอบสังเกตอากัปกริยาของปวรุตม์ด้วย
“ระดับนาราแล้วไม่ต้องหว่านเสน่ห์มากหรอกคะ แค่เอ่ยขอร้องด้วยน้ำเสียงหวานๆ พี่ๆ บนสภ.ก็แย่งกันมาเฝ้าดูแลนาราแล้ว”
นีนนาราหัวเราะขำมองไปหน้าบ้านประจวบเหมาะที่จ่าสันต์กำลังเดินลาดตระเวนพอดี นาราก็เลยสมอ้างเสียเลย
“เห็นไหมละ พี่สันต์กำลังเดินมาที่บ้านนาราพอดี” นีนนาราบุ้ยปากให้ปวรุตม์หันไปมองหน้าบ้าน
จ.ส.ต.สันต์ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วยพอเดินลาดตระเวนมาถึงบ้านนาราก็หยุดยิ้มทักทายหญิงสาวเหมือนปกติทุกวัน
“คุณนารา ยังไม่เข้านอนอีกหรือครับ”
จ่าสันต์ตะโกนถามเสียงดังยังไม่เห็นสารวัตรหนุ่มเพราะอีกฝ่ายนั่งหันหลังให้
ปวรุตม์ถลึงตามองนาราด้วยอารมณ์หึงหวงก่อนจะหันไปเอ่ยตอบจ่าสันต์ด้วยตนเอง
“กำลังจะเข้านอน เดินลาดตระเวนอยู่หรือครับ” ปวรุตม์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดุๆ ใบหน้าคมเข้มถมึงทึงน่ากลัว
“อ้าว…สารวัตรเองหรือครับ ผมนึกว่าหนุ่มที่ไหนมานั่งคุยกับคุณนารา”
จ่าสันต์เอ่ยทักสารวัตรทำท่าจะเปิดประตูรั้วแล้วเดินเข้ามาข้างใน แต่ปวรุตม์ลุกขึ้นยืนก่อนแล้วหันไปสั่งนาราเสียงเข้ม
“นารา! เข้านอนได้แล้ว”
“ไปนอนก็ได้ แต่ไม่ใช่เพราะเชื่อคำสั่งของคุณศาลาวัดนะ แต่เพราะง่วงนอนมากกว่า”
นีนนาราลอยหน้าลอยตาตอบ พอปวรุตม์เผลอเธอก็เขย่งเท้าขึ้นจนใบหน้าอยู่ระดับเดียวกันกับใบหน้าหล่อเหลาแล้วยื่นหน้าเข้าไปจูบราตรีสวัสดิ์ตรงแก้มสาก
“ราตรีสวัสดิ์ ฝันถึงนาราบ้างนะคะ” นีนนาราเอ่ยกลั้วหัวเราะแล้ววิ่งหนีเข้าไปในบ้าน
“ยายนารา!”
ปวรุตม์เรียกชื่อสาวน้อยเสียงดัง รู้สึกหน้าชาเมื่อโดนนาราแกล้งต่อหน้าลูกน้อง สารวัตรหนุ่มได้แต่ทำเสียงฮึ่มๆ ในลำคอยกมือลูบตรงแก้มที่ถูกริมฝีปากอุ่นจุมพิตเมื่อสักครู่
จ.ส.ต.สันต์พยายามกลั้นหัวเราะพอจะรู้มาจากดาบผิวบ้างแล้วว่าสารวัตรคนใหม่กับคุณนารามีใจให้กัน ปวรุตม์ตีสีหน้าบึ้งตึงเดินมาจากบ้านนาราแล้วปิดรั้วให้มิดชิดหันมาทำตาเขียวใส่ลูกน้องที่กำลังหัวเราะเบาๆ
“จะไปลาดตระเวนหรือเปล่าครับ” ปวรุตม์เอ่ยถามจ่าสันต์เสียงเข้ม
“ไปครับ”
จ่าสันต์เอ่ยกลั้วหัวเราะแล้วเดินตามสารวัตรหนุ่มไป แต่นายตำรวจทั้งสองนายเดินยังไม่ทันพ้นบ้านหลังสีขาวก็ได้ยินเสียงนาราตะโกนแว่วมา
“พี่สันต์ระวังตัวหน่อยนะคะ ระวังจะโดนเสือเมืองกรุงขบหัวเอา”
นีนนาราเอ่ยเตือนจ่าสันต์แล้วหัวเราะคิกเมื่อได้ยินเสียงสถบของปวรุตม์ดังมาแต่ไกล
“ยายนารา!”
นีนนาราหัวเราะคิกด้วยความขบขำแล้วรีบเข้าไปในห้องนอนหยิบสมุดบันทึกเล่มปัจจุบันมาเขียนถึงเรื่องราวของปวรุตม์ลงไป ในบางช่วงบางตอนที่เขียนถึงตอนที่ปวรุตม์ถูกเธอแกล้ง ตัวหนังสือที่บรรยายลงไปค่อนข้างเป็นระเบียบสวยงาม แต่ในขณะเดียวกันถ้าหากเขียนถึงความใจร้ายของปวรุตม์ที่ทำให้เธอเสียใจ ตัวหนังสือก็จะบิดเบี้ยวไม่เป็นระเบียบตามมือบางที่สั่นระริกและกระดาษสีขาวจะมีรอยคราบน้ำตาที่หยดลงไปเป็นหลักฐานให้เห็น