ลูกเลี้ยงทั้งสอง
ณ คฤหาสน์สกุลหง อันเป็นตระกูลเศรษฐีมั่งคั่งอันดับต้น ๆ ของเมืองโหงโจว
ยามอาทิตย์อัสดง เส้นแสงแห่งทิวาอ่อนลงตามการเคลื่อนคล้อยลาลับจากแผ่นฟ้า ท่ามกลางสวนสวยอันดารดาษรายล้อมไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับนานาพันธุ์ ปรากฏสองร่างสูงใหญ่แกร่งกำยำสมชายชาตรี ใบหน้างดงามละม้ายคล้ายกัน ที่นั่งอยู่ศาลากลางสวน แต่ละคนมีไหสุราอยู่ในมือและยกมันกระดกดื่มคราแล้วคราเล่า
หนึ่งนั้นคือ หงหลิวจาง ผู้พี่ วัยยี่สิบสาม อีกหนึ่งคือ หงเหรินโจว ผู้น้อง วัยยี่สิบเอ็ด ผู้เป็นบุตรชายของท่านเศรษฐีหงตงไถ่ผู้มั่งคั่ง ด้วยมีกิจการโรงเตี๊ยมหงเหออันเลื่องชื่อที่มีสาขาตามหัวเมืองใหญ่หลายแห่ง
ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากของทั้งคู่ มีเพียงสายตาคมกล้าที่อยู่ภายใต้คิ้วคมเข้มดกหนาราวพู่กันวาดที่มันฉายประกายเจ็บปวดผสานเคืองโกรธ
“ ว่ายน้ำแข่งกันไหมอาโจว ” อยู่ ๆ เสียงทุ้มของผู้เป็นพี่ก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ แต่ชายร่างท้วมร่างเตี้ยที่นั่งอยู่บนพื้นเบิกตากว้างแล้วเอ่ยคัดค้านทันที
“ ไม่ได้นะขอรับคุณชาย คุณชายทั้งคู่ร่ำสุราไปหนักเหลือเกิน หากลงไปว่ายน้ำก็เสี่ยงจะเกิดอันตรายได้ อีกอย่างน้ำก็เย็นเหลือเกิน คุณชาย ! ” เขาร้องเรียกเสียงหลง เพราะยังไม่ทันเอ่ยจบร่างสูงใหญ่ทั้งคู่ก็วิ่งแล้วกระโดดลงไปในธารน้ำใสเสียแล้ว
“ โธ่เอ๊ย ดื้อ ดื้อเสียจริง เป็นเช่นนี้แต่เด็กจนโตหาได้ฟังอะไรไม่ ! ” อาเจียง ผู้เป็นบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลทั้งคู่มาตั้งแต่วัยเด็กบ่นและส่ายศีรษะอย่างระอา
แต่สองพี่น้องดำผุดดำว่ายได้ไม่กี่อึดใจ อาเจียงก็แลเห็นผู้เป็นประมุขของบ้านเดินเคียงข้างมากับสตรีรูปงาม ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นฮูหยินคนใหม่แห่งตระกูลหง
“ นายท่านและท่านฮูหยินมา คุณชายทั้งสองขึ้นมาก่อนเถอะขอรับ ขึ้นมาคำนับทักทายท่านพ่อและ ท่านแม่เสียก่อน ”
“ หุบปากอาเจียง ข้าทั้งคู่มีแม่เพียงคนเดียว กับแค่หญิงอุ่นเตียงต่ำ ๆ ของท่านพ่อ อย่าได้เผยอขึ้นมาเทียบชั้นท่านแม่ข้า ! ” หลิวจางผู้พี่ ผู้โผงผางใจร้อน เก่งกล้าท้าชนตวาดออกมาดัง ๆ ตรงข้ามกับเหรินโจวผู้น้อง ผู้มีบุคลิกเคร่งขรึม แต่เป็นประเภทพูดน้อยต่อยหนัก
น้องชายรีบว่ายน้ำโผเข้ามาหาผู้เป็นพี่และแตะบ่าเบา ๆ
“ พี่ใหญ่ ใจเย็นก่อนเถอะ อย่าพึ่งโผงผางไป ดูลาดเลาเสียก่อนว่าหญิงแพศยานั่นจะมาไม้ไหน จะได้หาวิธีจัดการได้เข้าเป้าทีเดียว ”
“ มันก็จริงของเจ้า พี่จะพยายามเย็นให้ได้ ” ผู้เป็นพี่ชายว่า ก่อนที่คนทั้งคู่จะสาวเท้ามาถึงยังศาลาพักริมน้ำนั้น
“ ลูกชายทั้งคู่ของพ่อ มาก่อนหนึ่งวันไฉนไม่บอกพ่อ วันนี้พ่อออกไปดูกิจการเลยไม่ได้เตรียมต้อนรับ ”
ท่านเศรษฐีเอ่ยทักทายบุตรชายทั้งสองด้วยรอยยิ้ม เขาก็คมสันละม้ายคล้ายบุตรชายทั้งคู่ รูปร่างสูงโปร่ง แต่วัยห้าสิบเศษนั้นได้พรากความอ่อนเยาว์หนุ่มแน่นไปหมดแล้ว
ด้านข้างของท่านนั้นเป็นร่างอวบอัดของสตรีนางหนึ่งอันมีนามว่า เหนียงฮุ่ยฟาง ที่ยืนอยู่ด้วยใบหน้าและแววตาตระหนกตื่นกลัว ก้มมองร่างสูงใหญ่ล่ำสันของชายฉกรรจ์ทั้งคู่เดินขึ้นมาจากธารน้ำ
ชายคู่นั้นที่ได้ชื่อว่าเป็น ลูกเลี้ยง...
ทั้งคู่สูงใหญ่เหลือเกิน คะเนด้วยสายตาก็รู้ได้ว่าสูงกว่าผู้เป็นบิดามากนัก หากนางยืนใกล้ก็คงจะอยู่เพียงระดับแผงอก
แผงอกที่เปลือยเปล่าในขณะนี้จนแลเห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดชัดเจน เพราะทั้งคู่ได้ปลดสายคาดออกหลวม ๆ และปลดอาภรณ์ด้านบนลงให้ห้อยอยู่ที่บริเวณบั้นเอวสอบเพราะมันเปียกน้ำ นอกจากแผงอกที่หนั่นแน่นแล้วหน้าท้องแบนราบก็ขึ้นมาเป็นลอนกล้ามหกลูกชัดเจน เบื้องล่างนั้นอาภรณ์ที่เปียกปอนก็รัดรึงเข้าไปจนแนบเนื้อ ทำให้มองเห็นบางสิ่งบางอย่างเป็นรูปลำนูนออกมาเด่นชัด
หญิงสาวใบหน้าร้อนวูบ ลำคอแห้งผาก รีบหลุบสายตาต่ำลงมองพื้นทันที
“ คารวะท่านพ่อ ” ทั้งคู่เอ่ยทักทายและคำนับบิดาพร้อมกัน
“ ลูกชายที่รักของพ่อ รู้จักกับภรรยาคนใหม่ แม่เลี้ยงของเจ้าเสียสิ นางชื่อเหนียงฮุ่ยฟาง ฟางเอ๋อร์ มานี่สิ ไปหลบหลังพี่อยู่ทำไม มารู้จักกับลูก ๆ เสียก่อน ” น้ำเสียงของท่านเศรษฐีนั้นฟังดูอ่อนโยนเมื่อเจรจากับฮูหยิน ทว่าน้ำเสียงเช่นนั้นทำให้บุตรชายทั้งคู่พะอืดพะอมเหลือเกิน