2.1
ถังเหวินอดคิดถึงเด็กหนุ่มรุ่นน้องคนนั้นไม่ได้ คงเพราะสกุลโจเอาดีทางการเป็นทหาร โจฟานซินที่เป็นยอดฝีมือเลยเข้าตาแม่ทัพ เขาไต่เต้ามาจากทหารทั่วไป บัดนี้กินตำแหน่งถึงรองแม่ทัพ และหากฝีมือเข้าตา อนาคตไม่แคล้วได้เป็นแม่ทัพใหญ่ มีทหารหลายพันในอยู่ในกำมือ
“ข้าไม่มีทางยอมให้เด็กเหลือขอสกุลโจข่มเอาหรอก”
เด็กชายสกุลโจที่เคยเป็นแค่ลูกไล่ พอได้ดิบได้ดีคิดจะใช้ตำแหน่งเหยียบย่ำศักดิ์ศรีสกุลถัง ถังเหวินจะไม่ยอมทน
รถม้าสกุลถังจอดอยู่ที่ถนนหน้าเรือน เจินเอ๋อเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวใส่ห่อผ้า ระหว่างนั้นก็อดกังวลไม่ได้ การเดินทางไปที่ใหม่ คือการปรากฏตัวของเจียวลู่ครั้งแรก ทั่วทั้งแผ่นดินจะร่วมรับรู้ คนสกุลเจียวยังเหลือทายาท จากนี้ไปเภทภัยคงโถมเข้าใส่ เจียวลู่จะมีชีวิตรอดอยู่บนโลกใบนี้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของนาง
“คุณหนูรอง สวมชุดนี้เถอะเจ้าค่ะ” เจียวลู่ขมวดคิ้ว มองชุดสีเรียบในมือสาวใช้พร้อมกับขยับปากถาม
“ทำไมข้าต้องสวมชุดของเจ้าด้วยละเจินเอ๋อ”
เจินเอ๋อทรุดนั่ง ป้องปากกระซิบ “ระหว่างทางอาจมีอันตราย เพื่อความปลอดภัยของคุณหนู ข้าเลยไม่อยากให้ท่านเสี่ยง”
เจียวลู่ยอมตามใจสาวใช้ นางเปลี่ยนชุดตัวเองออก และสวมชุดสีเรียบๆ ของเจินเอ๋อแทน “เจ้าละ จะสวมชุดของข้าหรือเปล่า” เจินเอ๋อส่ายหน้า ฉวยเสื้อคลุมตัวโปรดของเจียวลู่มาคลุมไว้ที่หัวไหล่แทน จากนั้นก็ส่งหมวกฟางให้กับเจียวลู่
“ปลอดภัยไว้ก่อนนะเจ้าคะ”
เจียวเจี๋ยเดินเข้ามาหา ดวงตาของนางเอ่อคลอไปด้วยน้ำใสใส นี่เป็นครั้งแรกที่นางกับน้องสาวต้องอยู่ห่างกัน
“นี่ห่อข้าว พี่เตรียมไว้ให้เจ้า” ข้าวห่อใบบัว เจียวเจี๋ยลุกมาเตรียมไว้ตั้งแต่เช้ามืด เพื่อเป็นเสบียงให้น้องสาวระหว่างเดินทาง
“พี่ใหญ่” เจียวลู่โผเข้าหา สองมือสอดกอดรัดเอวบางของเจียวเจี๋ย
“เจ้าไม่ควรเสียน้ำตาในวันนี้” เจียวเจี๋ยกระซิบปราม ทั้งที่นางเองน้ำตาก็จวนจะหยด
“เจี่ย เลื่อนออกไปอีกสักวันไม่ได้หรือเจ้าคะ” เจียวลู่เอียงคอมองหน้าพี่สาว พลางเบะปาก
“เจ้าต้องไปเตรียมตัว จะให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้” เจียวเจี๋ยส่ายหน้า ความหวังของนางฝากไว้ที่เจียวลู่ หากพลาดวันนี้ จากนี้ไป ไม่มีหนทางที่จะทวงคืนความยุติธรรมให้สกุลเจียวได้เลย
“เจินเอ๋อ คอยดูแลคุณหนูดีๆ ละ”
“คุณหนูใหญ่วางใจได้เลยเจ้าค่ะ เจินเอ๋อจะตามคุณหนูทุกฝีก้าว จะไม่ยอมให้นางมีอันตรายด้วย”
เจียวเจี๋ยคลี่ยิ้มอ่อนๆ มือเรียวบางยกขึ้นลูบเรือนผมของเจียวลู่ พลางถอนใจ ผู้หญิงที่ยังไม่ได้ออกเรือน แถมวัยเกินเกณฑ์ที่จะแต่งงานอย่างนาง ที่ทำได้ก็ทำไปแล้ว ที่ทำไม่ได้ ก็ต้องอาศัยน้องสาวสืบต่อ
“เรื่องที่เจ้าจะไปทำสำคัญมากนะลู่เอ๋อ”
“ข้ารู้” เจียวลู่ก้มหน้า สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อสลัดความกลัวที่ค่อยๆ ผุดขึ้นมาเหมือนเงาปีศาจ
“พี่จะรออยู่ที่นี่ หากรู้ว่าภัยถึงตัว แล้วรับมือไม่ไหวก็ให้กลับมา” เจียวเจี๋ยสั่งความครั้งสุดท้าย เจียวลู่พยักหน้ารับ สกุลเจียวต้องพึ่งพาโอกาสครั้งนี้ แม้จะกลัวจนตัวสั่น นางก็ต้องออกไปเผชิญหน้า
3.
รถม้าสกุลถังวิ่งผ่านแนวเขา มุ่งหน้าสู่ใจกลางเมืองเสี่ยวเป้ย ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยป่าสนที่สูงท่วมศีรษะ มีทางดินเล็กๆ พอให้รู้จุดหมาย เจินเอ๋อคอยมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อระวังภัย จนกว่าจะถึงจุดหมาย นางไม่มีทางหลับตาลง เวลากว่าสองชั่วยามที่นั่งหัวสั่นคลอนมาตลอดทาง ในที่สุดถนนที่รถม้าสกุลถังวิ่งผ่านก็ราบเรียบไม่ได้ขุระเหมือนเดิม
“รออยู่ที่นี่นะแม่นาง ข้าจะไปเรียนนายท่านให้ทราบก่อน” คนขับรถม้าหน้าตาเย็นชาเปรยเสียงแผ่วๆ ตอนที่จอดรถม้าหน้าโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งใจกลางเมืองเสี่ยวเป้ย ห่างจากวังหลวงไม่ถึงหนึ่งลี้
เจินเอ๋อรวบห่อผ้าเข้าหาตัว แล้วก็รั้งข้อมือเจียวลู่ให้ลงจากรถม้า
สองสตรีสาวหมุนมองไปรอบๆ ตัว ถัดจากโรงเตี้ยมคือจวนของสกุลโจ รองแม่ทัพนั่นเอง หน้าประตูมีทหารกล้าสองนายยืนทำหน้าที่อยู่ ท่าทางทะมัดแทมงนั่นสะดุดตาเจียวลู่ จนละสายตาไม่ได้
จู่ๆ เสียงฝีเท้ามาดังขึ้นดื้อๆ