1
1.
“ลู่เอ๋อ ตื่นได้แล้ว”
เสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนที่ได้ยินทุกวันดังอยู่ข้างหู จากนั้นประตูไม้กรุกระดาษสีซีดก็ถูกผลัก แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านเงาร่างอรชรที่ยืนเท้าเอวอยู่ด้านหน้าประตูห้องนอนนั่นเอง
เจียวลู่บิดขี้เกียจแล้วค่อยๆ ปรือเปลือกตามอง
เจียวเจี๋ยถอนใจ เดินผ่านประตูเข้ามา “ได้เวลาฝึกชงชาแล้วนะ เจ้าจะเกียจคร้านถึงเมื่อไหร่กัน” นับตั้งแต่เหลือกันแค่สองพี่น้อง จากผู้หญิงอ่อนแอก็ต้องปรับตัวให้เข้มแข็ง เพราะหลังจากเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นที่เรือนหลังนี้ หญิงอ่อนแอก็ต้องรีบลุกขึ้นมาปกป้องตัวเอง
“เจียเจี่ย ขอข้านอนต่ออีกสักสองก้านธูปได้หรือไม่” วงหน้าขาวดังไข่ปอก ดวงตาเรียวรีเหมือนหยดน้ำค้าง ริมฝีปากสีระเรื่อยิ่งกว่าสีดอกกุหลาบแรกแย้ม
เจียวเจี๋ยส่ายหน้า “เห็นจะมิได้”
เสียงเย็นชาเช่นนั้นของพี่สาว เจียวลู่ถึงรู้ว่ามารยาครั้งนี้ของนางไม่เป็นผล นางทรงตัวนั่ง กำลังจะอ้าปากต่อรอง เจียวเจี๋ยก็พูดสำทับมาอีกครั้ง
“จำได้หรือไม่ ว่าเจ้ามีภาระที่ต้องทำหลังจากนี้อีกสามวัน”
เจียวลู่เบี่ยงปลายเท้าลงจากเตียง ฉวยอ่างน้ำอุ่นที่ใครสักคนนำมาวางไว้ให้ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นล้างคราบขี้ตา เจียวเจี๋ยเดินเลยไปรินน้ำชาจากกาใส่จอกดินเผา และเดินมายื่นส่งให้น้องสาวที่ยังพยายามโอ้เอ้รั้งเวลาอยู่
เจียวลู่ที่กระหายน้ำอยู่พอดีจึงรับจอกน้ำชาจากพี่สาว พลางมองเจียวเจี๋ยด้วยแววตาซาบซึ้ง
“ถ้าข้าไม่มีเจียเจี่ย วันนั้นข้าคงตายไปแล้ว”
“ลู่เอ๋อ!!” เจียวเจี๋ยตวาดเสียงแหลม
เจียวลู่สีหน้าสลดลง ความทรงจำที่ยังติดตรึงอยู่ในใจ กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งอยู่เหนือศีรษะ นางมองลอดรอยแตกของฝาไม้ปากบ่อน้ำแห้ง บุรุษและสตรีที่เคยอาศัยอยู่ในเรือนแห่งนี้นอนเกยก่ายสูงท่วมศีรษะ ลำคอบางคนขาดห้อยร่องแร่งเพราะคมกระบี่ เศษเนื้อ ลิ่มเลือดแผ่กระจายเป็นวงกว้าง กลิ่นควันไฟ เสียงแตกปะทุของไม้ดังสนั่นเต็มสองหู เจียวเจี๋ยกอดน้องสาวแน่น ทั้งที่ตนเองก็หวาดกลัวจนตัวสั่น
สองพี่น้องที่หลบอยู่ก้นบ่อน้ำแห้ง เลยรอดตายหวุดหวิด
ดวงตางดงามหลุบลง ริมฝีปากหุบสนิท
เจียวเจี๋ยทิ้งตัวนั่งบนขอบเตียง พลางมองหน้าน้องสาวแล้วก็ถอนใจแรงๆ
“จำไว้ให้ขึ้นใจนะลู่เอ๋อ จากนี้อีกสามวัน เจ้ามีภารกิจต้องทำ”
คนสองร้อยกว่าชีวิตถูกสังหารหมู่ จวบจนทุกวันนี้มือสังหารยังไม่ได้รับโทษทัณฑ์ คนเป็นที่ยังมีชีวิตรอดจะนอนหลับสนิทได้อย่างไร แม้จะเป็นแค่หญิง แต่การแก้แค้นให้คนสกุลเจียว ก็ถือเป็นหน้าที่
ความแค้นเลือดครั้งนี้ คนบงการต้องชดใช้
“เจี่ย ข้าสัญญา” กลีบปากสีระเรื่อย้ำคำสัญญา
“กินข้าวก่อนดีหรือไม่ ข้าทำเกี๊ยวน้ำของโปรดเจ้าไว้ให้” ถึงจะเข้มงวดกับน้องสาวทุกชั่วยาม แต่เจียวเจี๋ยก็ยังไม่วายลดความเข้มงวดในบางครั้ง
“พี่ใหญ่ หากวันนี้ข้าอยากทำอย่างอื่นก่อนการฝึกชงชา พี่สาวคิดว่าข้าจะทำได้ไหมเจ้าคะ”
แววตาเจ็บปวดรวดร้าวของเจียวเจี๋ยผุดขึ้นมา เจียวลู่สัมผัสได้ถึงความโศกสลดในใจพี่สาว พลันนั้นแผ่นหลังบอบบางก็รู้สึกถึงความเย็นเยียบที่แผ่ไปทั่วห้องนอน
“เจ้าลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่แล้วเหรอลู่เอ๋อ”
เป็นคำถามสั้นๆ แต่กระแทกเข้ามากลางใจ เจียวลู่สูดลมหายใจลึกๆ สลัดความกระหายตามประสาสาวแรกแย้มทิ้ง
“พี่ใหญ่ ลู่เอ๋อขอโทษ หลังกินมื้อเช้าอิ่ม ข้าจะไปฝึกชงชา ต่อด้วยการท่องบทกวี” คุณสมบัติของสตรีในวัง ต้องมีความรู้ อ่านออกเขียนได้ กิริยานุ่มลื่นประณีตตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สตรีสกุลเจียวเป็นต้นแบบของความงดงามทั้งสิบประการนั่น
นับร้อยปี ที่สกุลเจียวฝึกสาวแรกแย้ม และส่งเข้าวังหลัง เพื่อรับใช้บรรดาสนมและกุ้ยเฟย รวมทั้งฮองเอาหรือตัวไทเฮาเอง
ดังนั้นไม่แปลกเลย ที่บิดา มารดายากจนจะส่งลูกสาวของตัวเองมาฝึกมารยาทที่สกุลเจียว ปะเหมาะเคราะห์ดี จับพลัดจับผลูได้ถวายตัวรับใช้ฮ่องเต้ขึ้นมา สุกลนั้นๆ ก็จะพลอยสบาย ได้มีโอกาสเสวยอำนาจผ่านตำแหน่งของบุตรสาว
ตัวบุตรหลานสกุลเจียวเองก็มีวาสนาดี ได้ครองตำแหน่งกุ้ยเฟยก็หลายคน บางคนบารมีสูงส่ง ไปไกลถึงตำแหน่งหวงกุ้ยเฟยก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
“ลำบากเจ้าแล้ว” เจียวเจี๋ยวางมือบนแผ่นหลังน้องสาว