ตอนที่ 2 จะหนี
ตอนที่ 2 จะหนี
ท่านแม่ทัพเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดมุ่นไม่พอใจจึงได้เดินกลับเรือนของตนเองไป พลางขบคิดให้วุ่นวายใจ
หากนางเกิดอะไรขึ้นกลางดึกแล้วลูกในท้องของนางกับเขาจะเป็นเช่นไร เขาจึงได้มีความคิดประหนึ่งว่าจะต้องจับตาดูนางเสียหน่อย หากคิดไม่ซื่อขึ้นมาเขาจะทำอย่างไร
“กลับเรือนนาง” เขาหยุดเดินพลางสะบัดแขนเสื้อ ท่านองครักษ์ที่เดินติดตามก็งุนงงไม่น้อย นายเขาช่างผีเข้าผีออกเสียเหลือเกิน พวกเขาตามอารมณ์ไม่ทัน
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ” อาเจาองครักษ์ฝีมือดีติดตามรับใช้มานานหลายปี และมักจะเห็นท่านแม่ทัพคิดมากเสมอเกี่ยวกับฮูหยินที่ปากบอกว่าไม่ชอบ ไม่ชอบอย่างไรกันก็เห็น ๆ อยู่ว่าเป็นห่วงนาง
สองเท้าหนาแกร่งหยุดที่ประตูหน้าห้องนอนของนาง เขามีทีท่าว่าจะเข้าไป หรือจะไม่เข้าไปดี ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่เช่นนั้น ก้าวเดินหน้า และถอยหลังอยู่หลายครั้งหลายครา อาเจาทำตัวไม่ถูกอย่างยิ่ง
อาเมิ่งสาวใช้ที่ได้รับคำสั่ง ว่าคนท้องอยากกินเข้าต้มสักถ้วย นางเห็นท่านแม่ทัพท่าทีจะเข้าไม่เข้า จึงได้เอ่ยถามเพราะเกะกะนางจะเข้าไปข้างใน เดี๋ยวข้าวต้มที่นางยกมาจะเย็นจนหมดความอร่อย
“ท่านแม่ทัพ จะเข้าไปหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้ยกถาดสำรับข้าวต้ม พร้อมด้วยยาหนึ่งถ้วย ท่านแม่ทัพมองถาดนั้นอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ตัดสินใจยกถาดอาหารเข้าไปเอง และไล่สาวใช้ให้ออกไป
อาเมิ่งเดินคอตกออกไปตามคำสั่งของนายท่านอย่างว่าง่าย นางซ่อนรอยยิ้มเอาไว้
“ฮูหยินข้าวต้มมาแล้ว” สีหน้าของเขามิได้เรียบเฉย แต่กลับฉีกยิ้มอย่างคนอารมณ์ดีเข้าไปด้านใน คนที่ถูกเรียกกำลังเก็บหนังสืออะไรบางอย่างแล้วซ่อนมันเอาไว้ที่ใต้หมอน เขาเห็นแต่ทำเป็นไม่รู้
“เอาวางไว้บนโต๊ะ แล้วออกไปได้แล้ว” อวี้เหยาหาได้สนใจเขาไม่ ใบหน้าของนางดูเรียบและเฉยชาราวกับว่านางตัดขาดกับเขาแล้ว
“นี่ข้าเป็นสามีของเจ้านะ กล้าไล่ข้าเชียวรึ” เขาเพิ่งจะรู้ว่า ภรรยาเมินนั้นเจ็บปวดเช่นไรรู้สึกทั้งจุกและเจ็บไปหมด ความรู้สึกเช่นนี้นางคงจะไม่ต่างกันยามเขาเมินเฉย
บัดนี้เป็นเขาเองที่ถูกนางเมินเสียเอง สมน้ำหน้าให้กับความโง่นัก
“มากกว่านี้ข้าก็จะทำ ข้าไม่ได้ใช้ให้ท่านยกมาเสียหน่อย หมดธุระก็ออกไปได้ อย่ามาอยู่เกะกะลูกตาข้า” อวี้เหยา ยังยืนนิ่งดวงตาของนางไม่กะพริบจ้องใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ผิวของเขาคล้ำแดดไปมาก แต่ทว่าทำให้เขามีเสน่ห์ยั่วเย้านัก
“นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ!!” สามีขึ้นเสียงเล็กน้อยเขาไม่คิดว่านางจะกล้าออกไปปากไล่เขาเล่นนี้
เขากำลังข่มความกรุ่นโกรธ ไฟโทสะของตนเองให้เบาบางลง นางมักจะไม่ยอมเขาเหมือนเช่นเดิมแล้ว นางเก่งกล้าขึ้นมาก
“อะไรที่มากเกินไปเล่า ท่านแม่ทัพ ข้าแต่งงานกับท่านมาปีกว่า ดูแลจวนของท่านอย่างดีไร้ที่ติ ตอนนี้ท่านแม่ก็จากไปแล้ว ท่านก็จะหย่ากับข้าแล้วจะแต่งภรรยาใหม่ อะไรที่ว่ามากเกินไป ท่าน!!! หรือข้ากันแน่” อวี้เหยาย้ำความคิดนี้ตั้งแต่มารดาสามียังไม่จากไป
เขาพูดกรอกหูนางอยู่ตลอด ข่มเหงรังแกนางอย่างไรก็ได้ ที่นางยอมเพราะท่านป้านั้นป่วยไม่อาจจะมีชีวิตยืนยาว มารดาของนางเป็นสหายกันกับมารดาของสามี
ก่อนสิ้นใจได้ฝากฝังบุตรีเอาไว้ เพราะไม่เชื่อในคำมั่นของสามีนางที่จะหาสามีที่ดีให้กับลูกสาวผู้ที่น่าสงสาร
อวี้เหยาถูกเลี้ยงดูโดยภรรยารองของบิดา มารดาจากไปตอนนั้นนางอายุเพียงสิบหนาว ความโศกเศร้า ความเสียใจของเด็กคนหนึ่งที่ไม่อาจจะแบกรับได้
มารดารองก็ต่อหน้านั้นดีแสนดี ลับหลังกลับทำร้ายนางสารพัด บิดามิเคยรับรู้ ทำเป็นปิดหูปิดตา เอ็นดูแต่น้องรองที่งดงามกว่า
นางมีเพียงท่านป้าที่มาหาและถามไถ่อยู่เสมอ คอยสอนสั่งเรื่องการเรียนเขียนอ่านไม่ว่าตำราใดดี ชุดใดงดงามล้วนเป็นท่านป้านั้นหามาให้
ครั้นท่านป้าเจ็บป่วยออดแอดมีโรครุมเร้า เอ่ยขออวี้เหยาให้แต่งงานกับบุตรชายเพื่อตอบแทนบุญคุณ
อวี้เหยาไม่อาจจะปฏิเสธได้ ด้วยดวงใจของนางมีเขาอยู่แล้วจึงอยากจะอยู่ใกล้ชิดคอยดูแล มิคิดว่านางจะเจ็บปวดเช่นนี้ หากรู้เช่นนี้นางจะไม่ถลำลึกมอบใจและมอบกายให้เขาเลย
“ข้าเพียงเป็นห่วงว่าเจ้าจะหิว” เมื่อรู้ว่าผิด เขาจึงได้นั่งลงที่โต๊ะ เขามองถ้วยข้าวต้มหอมกรุ่นแต่ดูเหมือนว่ามันจะเริ่มเย็นชืด เพราะนางยังไม่ยอมไปนั่งลงกินข้าวต้มเสียที
“ห่วงข้าหรือ ลมปากที่แสนดี หากข้าหลงเชื่อก็โง่เต็มทนแล้ว” อวี้เหยามองถ้วยแต่ก็ไม่กล้าเดินไป กลัวว่าเขาจะทำอะไรบ้า ๆ อย่างมัดมือ มัดเท้าของนางเอาไว้กลัวว่านางจะหนี
“ข้าไม่ทะเลาะกับเจ้าแล้ว มากินข้าวต้มเถิด นอนห่มผ้าหนา ๆ ด้วยเล่า อากาศมันหนาวกลางดึก” เขามักจะแวะมาหานางตอนที่นางหลับแล้ว และเห็นว่านางนอนดิ้นราวกับเด็กน้อย
เขามักจะห่มผ้าให้นางเสมอ แม้ปากจะร้ายแต่ก็เป็นห่วงนางไม่น้อย
“เชิญออกไปเสียที เห็นท่านอยู่ข้า!!! กินไม่ลง!!” คนท้องอารมณ์แปรปรวนนัก นางหงุดหงิดเห็นเขาแล้วรู้สึกอยากจะข่วนหน้าหล่อ ๆ ของเขาเสียจริง บ้างก็มีความคิดอยากจะเอาไม้ตะบันหน้าที่เย่อหยิ่งของสามียิ่งนัก
สาวใช้ที่เมื่อครู่ถูกไล่ให้ออกไปนั้น นางรอจนกว่าท่านแม่ทัพจะออกไปก็เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา แจ้งเรื่องบางอย่างที่ฮูหยินให้ทำ
“ฮูหยิน ของที่ท่านให้เตรียมไว้ บ่าวแจ้งไปแล้วอีกสองวันคาดว่าน่าจะเป็นยามเย็นเจ้าค่ะ” สาวใช้ดวงตาของนางหาซ่อนมิตรไมตรีกับท่านแม่ทัพไม่ นางติดตามรับใช้คุณหนูตั้งแต่นางสิบหนาวความผูกพันย่อมมากว่าท่านแม่ทัพ
“ดี พรุ่งนี้ก็เตรียมเก็บของที่เหลือ” เงินทองของนางนั้นมีไม่มาก แต่ก็พอจะให้นางใช้ประทังชีวิตไปได้สักปีสองปี ถึงตอนนั้นนางก็อาจจะหากิจการเล็ก ๆ สักที่ เปิดโรงน้ำชา และมีอาหารสักเล็กน้อย เพื่อเลี้ยงปากและเลี้ยงลูกของนาง
“ฮูหยินเจ้าคะ แล้วคุณชายน้อยจะเป็นเช่นหากเดินทางไกลขนาดนั้น” เสี่ยวเมิ่ง หรืออาเมิ่ง ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง ระยะทางไม่ใช่ใกล้ ๆ กว่าจะถึงก็ราวสักสามชั่วยาม (หกชั่วโมง)
“ก็ไม่เป็นไร เหนื่อยก็พักระหว่างทาง เขาไม่รู้หรอก ว่าพวกเราจะไปที่ไหน เขาคงคิดว่าข้าสิ้นไร้ไม้ตอกกระมัง” ญาติมิตรของนางไม่ต้องการ หลังจากมารดาจากไป
เป็นแบบนี้สตรีม่ายหย่าร้างก็ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพัง หากเขาต้องการเพียงลูกแน่นอนว่ายามนางคลอดลูกแล้ว เขาก็ต้องขับไล่นางไปให้พ้นหน้าอยู่ดี มีหรือจะยอมให้เป็นเช่นนั้น
‘ลูกของข้า ข้าเลี้ยงเองมิต้องใครมารับผิดชอบ โดยเฉพาะไอ้คนไร้ใจนั่น ข้าไม่ต้องการ’ ความคิดมากมายนั้นนางหาทางไว้ตั้งแต่รู้ว่าท้อง และแม่สามีก็ป่วยหนัก เรื่องนี้จึงได้ปิดบังเอาไว้
ท่านแม่ทัพเดินไปถึงเรือนของตนเองพลางคิดไม่ตก ไม่คิดว่าภรรยาที่น่ารักอ่อนหวาน อีกทั้งว่านอนสอนง่ายคนนั้นหายไปไหน นางลุกขึ้นมาเถียงและตั้งตนเป็นศัตรูกับเขาเช่นนี้
คาดไม่ถึงว่านางจะซ่อนความร้ายกาจเอาไว้ นี่เขาเห็นว่านางมีลูกของเขาอยู่ หากนางยังกล้าปากดี ท้องก็ท้องเถิดจะจับตีก้นสักหลายสิบทีให้สาสมกับที่นางทำให้เขาโมโหนัก
“ท่านแม่ทัพดึกแล้ว นอนเถิดขอรับ” อาเจาเป็นห่วงเจ้านาย แต่เจ้านายกำลังคิดไม่ตก นางจะต้องมีแผนแน่ ๆ
“อาเจาช่วงนี้ฮูหยินเจ้าทำอะไรเป็นพิเศษ อย่างเช่น เดินเล่น หรือนางไปไหน ออกไปตลาดไปพบใคร” เขาคิดว่านางจะต้องหาทางไปจากที่นี่ให้ได้ แต่เขาจะต้องรู้ว่าใครจะพานางหลบหนีเขาไป
“ท่านแม่ทัพ ข้าก็อยู่กับท่านตลอด มีแต่อาเชาละขอรับที่อยู่ดูแลฮูหยิน” อาเจาส่ายหัวก่อนจะบอกว่าสหายของเขาที่ได้รับคำสั่งให้อยู่ดูแลฮูหยิน
“ไปเรียกอาเชามา” เสียงที่ดูจะเกรี้ยวกราดไม่น้อย พลางนอนลงที่เตียงนอนยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง อาเชาก็เร้นกายเข้ามาตามคำสั่ง
“รายงานเรื่องฮูหยินมาให้หมด” อาเชาก็เริ่มรายงานตั้งแต่ที่สาวใช้เริ่มทำอะไร ไล่จนไปถึงเรื่องเมื่อครู่ที่ทั้งนายและสาวใช้ไม่รู้ว่ามีเขาคอยดูแลและสอดส่องเป็นหูเป็นตาให้เจ้านาย
หากรู้เข้า มีหวังขนมอร่อย ๆ จะไม่ได้กินอีกเป็นแน่ แต่เขามิได้เอ่ยบอกจนหมดเรื่องบางอย่างเขายังคงเก็บเงียบเอาไว้ เพื่อสั่งสอนใครบางคนให้รู้จักหยกถนอมบุปผา มิใช่ทิ้งขว้างราวกับของเล่น ที่เบื่อแล้วก็โยนทิ้งไป
“เพิ่มคนคุ้มกันฮูหยิน แม้แต่มดสักตัวก็ห้ามเล็ดลอดออกได้” เขากำชับอาเจาด้วยเสียงที่แข็งกร้าว แววตาของเขาดูจริงจังไม่น้อย เขาไม่มีทางที่จะปล่อยนางและลูกไป
อาเชาได้ยินถ้อยคำสั่งนั้น ยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก เขานี้แหละจะทำให้มดมันออกไปได้คอยดูเถิด
“เจ้าคิดจะหนีหรือฮูหยินรัก ฝันไปเถิดว่าเจ้าจะหนีข้าพ้น”
ท่านแม่ทัพเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดมุ่นไม่พอใจจึงได้เดินกลับเรือนของตนเองไป พลางขบคิดให้วุ่นวายใจ
หากนางเกิดอะไรขึ้นกลางดึกแล้วลูกในท้องของนางกับเขาจะเป็นเช่นไร เขาจึงได้มีความคิดประหนึ่งว่าจะต้องจับตาดูนางเสียหน่อย หากคิดไม่ซื่อขึ้นมาเขาจะทำอย่างไร
“กลับเรือนนาง” เขาหยุดเดินพลางสะบัดแขนเสื้อ ท่านองครักษ์ที่เดินติดตามก็งุนงงไม่น้อย นายเขาช่างผีเข้าผีออกเสียเหลือเกิน พวกเขาตามอารมณ์ไม่ทัน
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ” อาเจาองครักษ์ฝีมือดีติดตามรับใช้มานานหลายปี และมักจะเห็นท่านแม่ทัพคิดมากเสมอเกี่ยวกับฮูหยินที่ปากบอกว่าไม่ชอบ ไม่ชอบอย่างไรกันก็เห็น ๆ อยู่ว่าเป็นห่วงนาง
สองเท้าหนาแกร่งหยุดที่ประตูหน้าห้องนอนของนาง เขามีทีท่าว่าจะเข้าไป หรือจะไม่เข้าไปดี ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่เช่นนั้น ก้าวเดินหน้า และถอยหลังอยู่หลายครั้งหลายครา อาเจาทำตัวไม่ถูกอย่างยิ่ง
อาเมิ่งสาวใช้ที่ได้รับคำสั่ง ว่าคนท้องอยากกินเข้าต้มสักถ้วย นางเห็นท่านแม่ทัพท่าทีจะเข้าไม่เข้า จึงได้เอ่ยถามเพราะเกะกะนางจะเข้าไปข้างใน เดี๋ยวข้าวต้มที่นางยกมาจะเย็นจนหมดความอร่อย
“ท่านแม่ทัพ จะเข้าไปหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้ยกถาดสำรับข้าวต้ม พร้อมด้วยยาหนึ่งถ้วย ท่านแม่ทัพมองถาดนั้นอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ตัดสินใจยกถาดอาหารเข้าไปเอง และไล่สาวใช้ให้ออกไป
อาเมิ่งเดินคอตกออกไปตามคำสั่งของนายท่านอย่างว่าง่าย นางซ่อนรอยยิ้มเอาไว้
“ฮูหยินข้าวต้มมาแล้ว” สีหน้าของเขามิได้เรียบเฉย แต่กลับฉีกยิ้มอย่างคนอารมณ์ดีเข้าไปด้านใน คนที่ถูกเรียกกำลังเก็บหนังสืออะไรบางอย่างแล้วซ่อนมันเอาไว้ที่ใต้หมอน เขาเห็นแต่ทำเป็นไม่รู้
“เอาวางไว้บนโต๊ะ แล้วออกไปได้แล้ว” อวี้เหยาหาได้สนใจเขาไม่ ใบหน้าของนางดูเรียบและเฉยชาราวกับว่านางตัดขาดกับเขาแล้ว
“นี่ข้าเป็นสามีของเจ้านะ กล้าไล่ข้าเชียวรึ” เขาเพิ่งจะรู้ว่า ภรรยาเมินนั้นเจ็บปวดเช่นไรรู้สึกทั้งจุกและเจ็บไปหมด ความรู้สึกเช่นนี้นางคงจะไม่ต่างกันยามเขาเมินเฉย
บัดนี้เป็นเขาเองที่ถูกนางเมินเสียเอง สมน้ำหน้าให้กับความโง่นัก
“มากกว่านี้ข้าก็จะทำ ข้าไม่ได้ใช้ให้ท่านยกมาเสียหน่อย หมดธุระก็ออกไปได้ อย่ามาอยู่เกะกะลูกตาข้า” อวี้เหยา ยังยืนนิ่งดวงตาของนางไม่กะพริบจ้องใบหน้าหล่อเหลาคมคาย ผิวของเขาคล้ำแดดไปมาก แต่ทว่าทำให้เขามีเสน่ห์ยั่วเย้านัก
“นี่มันจะมากเกินไปแล้วนะ!!” สามีขึ้นเสียงเล็กน้อยเขาไม่คิดว่านางจะกล้าออกไปปากไล่เขาเล่นนี้
เขากำลังข่มความกรุ่นโกรธ ไฟโทสะของตนเองให้เบาบางลง นางมักจะไม่ยอมเขาเหมือนเช่นเดิมแล้ว นางเก่งกล้าขึ้นมาก
“อะไรที่มากเกินไปเล่า ท่านแม่ทัพ ข้าแต่งงานกับท่านมาปีกว่า ดูแลจวนของท่านอย่างดีไร้ที่ติ ตอนนี้ท่านแม่ก็จากไปแล้ว ท่านก็จะหย่ากับข้าแล้วจะแต่งภรรยาใหม่ อะไรที่ว่ามากเกินไป ท่าน!!! หรือข้ากันแน่” อวี้เหยาย้ำความคิดนี้ตั้งแต่มารดาสามียังไม่จากไป
เขาพูดกรอกหูนางอยู่ตลอด ข่มเหงรังแกนางอย่างไรก็ได้ ที่นางยอมเพราะท่านป้านั้นป่วยไม่อาจจะมีชีวิตยืนยาว มารดาของนางเป็นสหายกันกับมารดาของสามี
ก่อนสิ้นใจได้ฝากฝังบุตรีเอาไว้ เพราะไม่เชื่อในคำมั่นของสามีนางที่จะหาสามีที่ดีให้กับลูกสาวผู้ที่น่าสงสาร
อวี้เหยาถูกเลี้ยงดูโดยภรรยารองของบิดา มารดาจากไปตอนนั้นนางอายุเพียงสิบหนาว ความโศกเศร้า ความเสียใจของเด็กคนหนึ่งที่ไม่อาจจะแบกรับได้
มารดารองก็ต่อหน้านั้นดีแสนดี ลับหลังกลับทำร้ายนางสารพัด บิดามิเคยรับรู้ ทำเป็นปิดหูปิดตา เอ็นดูแต่น้องรองที่งดงามกว่า
นางมีเพียงท่านป้าที่มาหาและถามไถ่อยู่เสมอ คอยสอนสั่งเรื่องการเรียนเขียนอ่านไม่ว่าตำราใดดี ชุดใดงดงามล้วนเป็นท่านป้านั้นหามาให้
ครั้นท่านป้าเจ็บป่วยออดแอดมีโรครุมเร้า เอ่ยขออวี้เหยาให้แต่งงานกับบุตรชายเพื่อตอบแทนบุญคุณ
อวี้เหยาไม่อาจจะปฏิเสธได้ ด้วยดวงใจของนางมีเขาอยู่แล้วจึงอยากจะอยู่ใกล้ชิดคอยดูแล มิคิดว่านางจะเจ็บปวดเช่นนี้ หากรู้เช่นนี้นางจะไม่ถลำลึกมอบใจและมอบกายให้เขาเลย
“ข้าเพียงเป็นห่วงว่าเจ้าจะหิว” เมื่อรู้ว่าผิด เขาจึงได้นั่งลงที่โต๊ะ เขามองถ้วยข้าวต้มหอมกรุ่นแต่ดูเหมือนว่ามันจะเริ่มเย็นชืด เพราะนางยังไม่ยอมไปนั่งลงกินข้าวต้มเสียที
“ห่วงข้าหรือ ลมปากที่แสนดี หากข้าหลงเชื่อก็โง่เต็มทนแล้ว” อวี้เหยามองถ้วยแต่ก็ไม่กล้าเดินไป กลัวว่าเขาจะทำอะไรบ้า ๆ อย่างมัดมือ มัดเท้าของนางเอาไว้กลัวว่านางจะหนี
“ข้าไม่ทะเลาะกับเจ้าแล้ว มากินข้าวต้มเถิด นอนห่มผ้าหนา ๆ ด้วยเล่า อากาศมันหนาวกลางดึก” เขามักจะแวะมาหานางตอนที่นางหลับแล้ว และเห็นว่านางนอนดิ้นราวกับเด็กน้อย
เขามักจะห่มผ้าให้นางเสมอ แม้ปากจะร้ายแต่ก็เป็นห่วงนางไม่น้อย
“เชิญออกไปเสียที เห็นท่านอยู่ข้า!!! กินไม่ลง!!” คนท้องอารมณ์แปรปรวนนัก นางหงุดหงิดเห็นเขาแล้วรู้สึกอยากจะข่วนหน้าหล่อ ๆ ของเขาเสียจริง บ้างก็มีความคิดอยากจะเอาไม้ตะบันหน้าที่เย่อหยิ่งของสามียิ่งนัก
สาวใช้ที่เมื่อครู่ถูกไล่ให้ออกไปนั้น นางรอจนกว่าท่านแม่ทัพจะออกไปก็เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา แจ้งเรื่องบางอย่างที่ฮูหยินให้ทำ
“ฮูหยิน ของที่ท่านให้เตรียมไว้ บ่าวแจ้งไปแล้วอีกสองวันคาดว่าน่าจะเป็นยามเย็นเจ้าค่ะ” สาวใช้ดวงตาของนางหาซ่อนมิตรไมตรีกับท่านแม่ทัพไม่ นางติดตามรับใช้คุณหนูตั้งแต่นางสิบหนาวความผูกพันย่อมมากว่าท่านแม่ทัพ
“ดี พรุ่งนี้ก็เตรียมเก็บของที่เหลือ” เงินทองของนางนั้นมีไม่มาก แต่ก็พอจะให้นางใช้ประทังชีวิตไปได้สักปีสองปี ถึงตอนนั้นนางก็อาจจะหากิจการเล็ก ๆ สักที่ เปิดโรงน้ำชา และมีอาหารสักเล็กน้อย เพื่อเลี้ยงปากและเลี้ยงลูกของนาง
“ฮูหยินเจ้าคะ แล้วคุณชายน้อยจะเป็นเช่นหากเดินทางไกลขนาดนั้น” เสี่ยวเมิ่ง หรืออาเมิ่ง ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง ระยะทางไม่ใช่ใกล้ ๆ กว่าจะถึงก็ราวสักสามชั่วยาม (หกชั่วโมง)
“ก็ไม่เป็นไร เหนื่อยก็พักระหว่างทาง เขาไม่รู้หรอก ว่าพวกเราจะไปที่ไหน เขาคงคิดว่าข้าสิ้นไร้ไม้ตอกกระมัง” ญาติมิตรของนางไม่ต้องการ หลังจากมารดาจากไป
เป็นแบบนี้สตรีม่ายหย่าร้างก็ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพัง หากเขาต้องการเพียงลูกแน่นอนว่ายามนางคลอดลูกแล้ว เขาก็ต้องขับไล่นางไปให้พ้นหน้าอยู่ดี มีหรือจะยอมให้เป็นเช่นนั้น
‘ลูกของข้า ข้าเลี้ยงเองมิต้องใครมารับผิดชอบ โดยเฉพาะไอ้คนไร้ใจนั่น ข้าไม่ต้องการ’ ความคิดมากมายนั้นนางหาทางไว้ตั้งแต่รู้ว่าท้อง และแม่สามีก็ป่วยหนัก เรื่องนี้จึงได้ปิดบังเอาไว้
ท่านแม่ทัพเดินไปถึงเรือนของตนเองพลางคิดไม่ตก ไม่คิดว่าภรรยาที่น่ารักอ่อนหวาน อีกทั้งว่านอนสอนง่ายคนนั้นหายไปไหน นางลุกขึ้นมาเถียงและตั้งตนเป็นศัตรูกับเขาเช่นนี้
คาดไม่ถึงว่านางจะซ่อนความร้ายกาจเอาไว้ นี่เขาเห็นว่านางมีลูกของเขาอยู่ หากนางยังกล้าปากดี ท้องก็ท้องเถิดจะจับตีก้นสักหลายสิบทีให้สาสมกับที่นางทำให้เขาโมโหนัก
“ท่านแม่ทัพดึกแล้ว นอนเถิดขอรับ” อาเจาเป็นห่วงเจ้านาย แต่เจ้านายกำลังคิดไม่ตก นางจะต้องมีแผนแน่ ๆ
“อาเจาช่วงนี้ฮูหยินเจ้าทำอะไรเป็นพิเศษ อย่างเช่น เดินเล่น หรือนางไปไหน ออกไปตลาดไปพบใคร” เขาคิดว่านางจะต้องหาทางไปจากที่นี่ให้ได้ แต่เขาจะต้องรู้ว่าใครจะพานางหลบหนีเขาไป
“ท่านแม่ทัพ ข้าก็อยู่กับท่านตลอด มีแต่อาเชาละขอรับที่อยู่ดูแลฮูหยิน” อาเจาส่ายหัวก่อนจะบอกว่าสหายของเขาที่ได้รับคำสั่งให้อยู่ดูแลฮูหยิน
“ไปเรียกอาเชามา” เสียงที่ดูจะเกรี้ยวกราดไม่น้อย พลางนอนลงที่เตียงนอนยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง อาเชาก็เร้นกายเข้ามาตามคำสั่ง
“รายงานเรื่องฮูหยินมาให้หมด” อาเชาก็เริ่มรายงานตั้งแต่ที่สาวใช้เริ่มทำอะไร ไล่จนไปถึงเรื่องเมื่อครู่ที่ทั้งนายและสาวใช้ไม่รู้ว่ามีเขาคอยดูแลและสอดส่องเป็นหูเป็นตาให้เจ้านาย
หากรู้เข้า มีหวังขนมอร่อย ๆ จะไม่ได้กินอีกเป็นแน่ แต่เขามิได้เอ่ยบอกจนหมดเรื่องบางอย่างเขายังคงเก็บเงียบเอาไว้ เพื่อสั่งสอนใครบางคนให้รู้จักหยกถนอมบุปผา มิใช่ทิ้งขว้างราวกับของเล่น ที่เบื่อแล้วก็โยนทิ้งไป
“เพิ่มคนคุ้มกันฮูหยิน แม้แต่มดสักตัวก็ห้ามเล็ดลอดออกได้” เขากำชับอาเจาด้วยเสียงที่แข็งกร้าว แววตาของเขาดูจริงจังไม่น้อย เขาไม่มีทางที่จะปล่อยนางและลูกไป
อาเชาได้ยินถ้อยคำสั่งนั้น ยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก เขานี้แหละจะทำให้มดมันออกไปได้คอยดูเถิด
“เจ้าคิดจะหนีหรือฮูหยินรัก ฝันไปเถิดว่าเจ้าจะหนีข้าพ้น”