บทที่ 5
หลี่ซินเหมยสบถเสียงดังทันทีที่เดินออกจากร้านขายยา
โฉมงามมองเงินที่เหลืออยู่ในมือและถอนหายใจยาว ความจริงนางตั้งใจว่าจะซื้อเสื้อผ้าบุรุษอย่างหยาบสักสองสามชุด เพื่อเอาไว้ใส่ไปทำงาน แต่ตอนนี้คงซื้อได้แค่เพียงชุดเดียวเท่านั้น
“ท่านพอจะแนะนำร้านค้าที่ขายเสื้อผ้าสำหรับใส่ไปทำงานในสวนได้หรือไม่ เอาที่ราคาไม่แพงนัก”
“ที่แท้เจ้ากังวลเรื่องเสื้อผ้าที่จะต้องใส่เข้าไปทำงานในสวน”
อาเหยียนยิ้มอย่างอารมณ์ดี เขาดูเป็นคนซื่อ ๆ คิดอย่างไรก็พูดออกมา และเมื่อทราบว่าลูกจ้างคนใหม่ของแปลงผักต้องการสิ่งใด เขาก็รีบเสนอทางออกให้ในทันที
“หากเจ้าไม่ถือสา ข้ามีเสื้อผ้าเก่า ๆ ของคุณชายโจวเก็บเอาไว้อยู่จำนวนหนึ่ง แต่ละชุดล้วนเหมาะกับการสวมใส่ ยามต้องทำงานในสวน”
ความจริงอาเหยียนตั้งใจจะเอาไปบริจาคตามคำสั่งของนายท่าน แต่การมอบให้นางก็มิถือว่าผิดจุดประสงค์มิใช่หรือ
“ไม่ถือสา อะไรที่ไม่ต้องใช้เงิน ข้าไม่ถือสาทั้งนั้น”
หลี่ซินเหมยรีบตอบทันควัน เมื่อทราบว่ามีหนทางที่ทำให้นางไม่ต้องใช้เงินเกินกว่าที่กำหนดไว้ในแต่ละวัน
หลังจากสนทนากันอยู่พักใหญ่ คุณหนูตกยากก็ทราบว่าคู่สนทนาอายุมากกว่าถึงห้าปี ทั้งยังมีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าคนสวน คอยควบคุมทุกอย่างในแปลงผักหลวง ทว่าอาเหยียนก็ยืนยันว่ามิต้องเรียกขานกันว่าหัวหน้าให้มากความ ส่วนเรื่องเสื้อผ้าของคุณชายโจว เขาจะนำมาให้นางในวันพรุ่งนี้เช้า
“คงไม่ต้องแก้ไขอะไรมาก เพราะเสื้อผ้าเก่าที่ว่า คือเสื้อผ้าของคุณชายยามอายุได้เพียงสิบสองปีเท่านั้น” อาเหยียนยกมือขึ้นเพื่อวัดระดับความสูงของนาง ก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
“ท่านบอกข้าเรื่องคุณชายได้หรือไม่”
“คุณชายอารมณ์ดีเสมอ ทว่าบางครั้งก็ชอบแกล้งคนเล่นแก้เบื่อ อีกเรื่องที่สำคัญคือคุณชายมิชอบถูกแดด และจะออกมาดูแปลงผักแค่ในช่วงเช้าตรู่หรือไม่ก็ช่วงเย็นเท่านั้น แต่หากวันไหนแดดไม่แรงมาก คุณชายก็จะออกมาในช่วงกลางวันด้วย” คำบอกเล่าของอาเหยียนทำเอาคนฟังถึงกับลอบยิ้มหยัน
หลี่ซินเหมยไม่ชอบผู้ชายเจ้าสำอาง
“ซินเหมย มีอีกเรื่องเจ้าควรรู้”
“เรื่องอะไรหรือ” หลี่ซินเหมยขยับเข้าไปใกล้
“คุณชายถูกบังคับให้ทำความรู้จัก ผูกมิตรกับคุณหนูสกุลหวัง แต่คุณชายไม่ชอบนาง และจะอารมณ์เสียทุกครั้งที่คุณหนูแวะไปหาที่บ้าน”
“แล้วเหตุใดนางจึงต้องไปที่บ้านของคุณชายด้วยเล่า” หลี่ซินเหมยบีบขมับ เพราะไม่นึกว่าจะต้องเจอกับสตรีปากร้ายอีก
“เห็นว่าต้องนำสมุนไพรบำรุงร่างกายไปให้คุณชายทุก ๆ สิบห้าวัน นอกเหนือจากนั้นข้าก็ไม่รู้ ความจริงข้าก็เพิ่งจะถูกเรียกตัวมาจากต่างเมือง เพราะว่าคนงานที่นี่ถูกไล่ออกเกือบหมดเมื่อหลายเดือนก่อน”
อาเหยียนรับหน้าที่ดูแลแปลงผักสกุลโจวที่อยู่อีกเมือง ซึ่งเป็นพืชปลูกยากที่ให้ผลผลิตเพียงแค่ปีละครั้งเท่านั้น เขายังเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับงานอีกหลายอย่าง เพื่อช่วยแนะแนวทางให้กับหลี่ซินเหมยได้ทราบว่าต้องทำอะไรต่อไปบ้าง
“ความจริงข้ามิได้ถนัดการปลูกผักอย่างที่อ้างเอาตัวรอดก่อนหน้านี้ ทว่าก็พอมีฝีมือในการปลูกสมุนไพรอยู่บ้าง”
หลี่ซินเหมยรู้สึกสบายใจขึ้นมาก จนกระทั่งยอมเปิดเผยรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับชีวิตของนาง
ใช้เวลาไม่นาน อาเหยียนและลูกจ้างคนใหม่ก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าแผงผักสกุลโจว คนสวนสองชีวิตทำหน้าที่พ่อค้าจำเป็น จนกระทั่งไม่เหลืออะไรให้ขายอีก ทั้งคู่รีบมอบเงินจำนวนมากให้กับหัวหน้าคนสวนที่เพิ่งจะมาถึง ราวกับกลัวว่าเงินก้อนนั้นจะทำมือของทั้งสอง พองไหม้ไปเสียก่อน
“นี่ซินเหมย นางจะมาทำงานกับเราในวันพรุ่งนี้” อาเหยียนแจ้งให้กับคนสวนทั้งสองได้รับทราบ
“น้องสาวตัวเล็กนิดเดียว จะทำสวนไหวอยู่หรือ” หนึ่งในนั้นทำสีหน้ากังวล
“ไม่ไหว ก็ทำเท่าที่ไหว ถ้าขาดเหลืออะไรก็ค่อยช่วยกัน” พออีกคนกล่าวปลอบใจก็ค่อยหายห่วงสาวน้อยขึ้นมาบ้าง
“น้องสาวไม่ต้องห่วง ช่วงนี้งานไม่หนักแล้ว”
อู๋ฮวนและหูเฉิน กล่าวทักทายแล้วเสร็จก็รีบขอตัวเก็บข้าวของ เตรียมกลับไปพักผ่อน พลางย้ำว่าถ้ามีปัญหาอะไรให้รีบบอก จะได้ช่วยกันแก้ไขได้ทัน และนั่นทำให้หลี่ซินเหมยแทบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ผู้คนที่เมืองเฉินหยางล้วนมีน้ำใจ แตกต่างจากคนที่บ้านเกิดของนางราวฟ้ากับดิน
“ฟ้าจะมืดแล้ว เดี๋ยวข้าจะเดินไปส่ง” อาเหยียนเสนอตัว อย่างไรนางก็เป็นสตรี ควรต้องดูแลกันตามสมควร
“อย่าลำบากเลย ข้ากลับเองได้” หลี่ซินเหมยรีบปฏิเสธ
“เช่นนั้นก็เดินด้วยกัน จนกว่าจะถึงทางที่จะต้องแยก”
อาเหยียนเดินคู่กับสาวงามไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงทางแยกเข้าบ้านหลังเล็กที่อยู่ไม่ห่างจากแปลงผักสกุลโจว
“ถึงแล้ว บ้านของข้าอยู่แยกข้างหน้านี้เอง”
“ที่แท้เจ้าก็เช่าบ้านของตาเฒ่าหยางอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็มั่นใจได้แล้วว่าคนงานใหม่จะไม่ไปทำงานสาย” อาเหยียนแสร้งทำท่าโล่งใจ ก่อนจะขอตัวกลับบ้านของตนที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนัก
