บทที่ 29
“จะว่าไปแล้วสตรีนางนั้นก็ทำตามบันทึกของเจ้าอย่างเคร่งครัด แล้วเหตุใดจึงต้องดุด่าและไล่นางไปให้พ้นด้วยเล่า”
“เป็นลูกที่ใจร้อนไม่ยอมฟังนางอธิบาย” คุณชายโจวถอนหายใจยาว มิอยากเชื่อว่าตนจะขาดสติได้ง่ายถึงปานนั้น
“ลูกผู้ชายทำผิดย่อมต้องแก้ไข หลังจัดการเรื่องงานเรียบร้อย เจ้าค่อยไปกล่าวคำขอโทษต่อนาง”
โจวหงเหลียงสรุปสั้น ๆ เขาบอกกับติงเกาว่าให้แจกจ่ายงานตามความเหมาะสม และขอให้มีคนสวนสักสองสามคนคอยเฝ้าดูแล เผื่อว่าแปลงผักที่ถูกเผาจะยังมีเชื้อไฟหลงเหลืออยู่
สองพ่อลูกสกุลโจวตั้งใจว่าจะเดินกลับเข้าบ้าน เตรียมร่างจดหมายแนบไปว่าไม่สามารถจัดส่งผักครบถ้วนตามรายการได้ ทว่าคำสั่งที่หลุดออกมาจากปากของติงเกา กลับหยุดคุณชายเจ้าสำอางและบิดาเอาไว้เสียก่อน
“พวกเจ้าสองคนไปจัดการเก็บฟักทอง ส่วนเจ้าสองคนไปเก็บหอมและกระเทียม” หัวหน้าคนสวนชั่วคราว สั่งงานเช่นเดียวกับที่อาเหยียนเคยทำ นั่นคือแต่ละแปลงจะต้องช่วยกันสองคน เพื่อป้องกันมิให้เกิดข้อผิดพลาด และหากต้องการพืชผักประเภทใดเป็นจำนวนมาก เขาก็จะจัดแบ่งสามคนให้คอยดูแล
“พวกเจ้าสามคนไปที่แปลงผักของน้องสาวซินเหมย จัดการเก็บแตงกวา ถั่วลันเตา และบวบ ตามจำนวนที่ข้าแจ้งเอาไว้เมื่อวาน”
“แปลงผักของซินเหมย เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
โจวเล่อเทียนเร่งสอบถาม นอกจากแปลงสมุนไพรที่นางเพิ่งจะหย่อนเมล็ดพันธุ์ไปเมื่อวาน หลี่ซินเหมยยังมีอะไรที่ทำให้เขาประหลาดใจได้อยู่อีกหรือ
“น้องสาวซินเหมยนำเมล็ดพันธุ์ที่ควรจะถูกคัดทิ้งไปทดลองปลูกที่แปลงท้ายสวนขอรับ หากใครอยากจะนำกลับบ้านไปประกอบอาหารก็มิขัดข้อง” ติงเกาชี้ไปยังแปลงผักท้ายสวน บริเวณนั้นอยู่ห่างจากบ่อน้ำค่อนข้างมาก จึงถูกทิ้งเอาไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย
อาเหยียนพรวนดินบริเวณนั้นเอาไว้ เผื่อต้องการใช้ปลูกอะไรเพิ่มเติม และเขาไม่ได้ขัดข้องยามหลี่ซินเหมยมาขออนุญาต ทดลองปลูกพืชผักประเภทไม้เลื้อยที่แปลงว่างเปล่านั่นเล่น
นึกไม่ถึงว่าแปลงผักทดลองของนางจะช่วยรักษาชื่อเสียงของสกุลโจวเอาไว้ได้
“เล่อเทียน เจ้ากลับเข้าไปพักผ่อนในบ้านก่อนเถิด เอาไว้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ค่อยตรวจสอบกันอีกที” โจวหงเหลียงตบบ่าของลูกชายเบา ๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไป
สาวใช้จัดเตรียมอาหารให้คุณชายและนายท่านที่เพิ่งจะกลับมาบ้านในรอบสองเดือนกว่า อาหารมื้อเช้าที่คุณชายโปรดปรานถูกนำมาวางเอาไว้บนโต๊ะ ทว่าเขากลับมินึกอยากจะรับประทาน ทั้งยังทำสีหน้าคลื่นไส้คล้ายจะอาเจียนอีกด้วย โจวเล่อเทียนกินเข้าไปได้แค่สองคำก็จำต้องวางตะเกียบ
“กินข้าวมิลงเพราะเรื่องเมื่อครู่นี้หรือ”
“ขอรับท่านพ่อ”
คุณชายเจ้าสำอางฝืนยิ้มให้กับบิดา มือเรียวหยิบตะเกียบขึ้นมา ก่อนจะป้อนอาหารเข้าปากเพิ่มเติมอีกสองสามคำ
การถูกบิดาตามใจแทบจะทุกเรื่อง มิได้ทำให้โจวเล่อเทียนกลายเป็นคุณชายนิสัยเสีย เขารู้สึกเกรงใจที่ช่วยเหลือกิจการของครอบครัวได้ไม่มากพอ ทั้งยังทำให้ท่านพ่อต้องสูญเสียเงินบำรุงสุขภาพอีกจำนวนมาก หากมีเรื่องอันใดที่ทำแล้วบิดาสบายใจ เขาก็ยอมที่จะฝืนใจทำมันอย่างสุดความสามารถ
เว้นแค่เรื่องหมั้นหมายกับคุณหนูหวังฮุ่ยเหอ เขาฝืนทำตามใจบิดามิได้จริง ๆ
“เอาไว้พรุ่งนี้นางกลับมาทำงานแล้วค่อยขอโทษก็คงไม่สายเกินไปกระมัง” โจวหงเหลียงพอจะเดาได้ว่าลูกชายคิดอะไรอยู่
“ซินเหมยคงจะโกรธข้าอย่างมาก นางไม่ยอมกลับมาง่าย ๆ แน่ขอรับ” โจวเล่อเทียนเล่าว่านึกเห็นใจที่นางเป็นสตรี จึงชักชวนเข้ามาช่วยงานในบ้าน แทนการตากแดดร้อนจัดอยู่กลางแปลงผัก
“นางอ่านออกเขียนได้ ทั้งยังเชี่ยวชาญการทำบัญชี ดูท่าหลี่ซินเหมยคงจะมิใช่ชาวบ้านธรรมดาแล้วกระมัง”
“ท่านพ่อขอรับ ลูกทราบดีว่าอาจจะขอมากไปสักหน่อย แต่หลังจากงานเสร็จแล้ว ลูกขอไปหานางได้หรือไม่ขอรับ”
“ดูท่านางจะสำคัญกับเจ้าอย่างมาก” โจวหงเหลียงมิค่อยพอใจกับคำขอของลูกชายนัก
“ลูกแค่รู้สึกผิดที่ตวาดนาง ทั้ง ๆ ที่นางพยายามจะช่วย ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ลูกแทบมิต้องสวมชุดป้องกันความร้อน มิต้องออกไปให้คนข้างนอกได้หัวเราะเยาะเล่น ก็เพราะได้นางคอยรายงานทุกอย่างให้ได้รับทราบ ทั้งยังมิต้องทำงานดึก เพราะได้นางคอยช่วยทำบัญชีในช่วงเช้า”
“ช่วงเช้า แล้วช่วงบ่ายนางมิต้องทำงานหรือ”
“มิใช่ขอรับ นางขอแบ่งเวลาช่วยงานลูกแค่ช่วงเช้า และออกไปทำสวนต่อในช่วงบ่ายขอรับ” คุณชายโจวรีบแจ้ง เพราะกลัวบิดาจะเข้าใจไปว่า หลี่ซินเหมยได้รับอภิสิทธิ์มากกว่าผู้อื่น
“เล่อเทียน เจ้าชอบนางใช่หรือไม่”
“ขอรับ ข้าชอบที่นางขยันและช่วยงานข้าได้มาก”
สายตาของบิดาทำให้โจวเล่อเทียนหายใจมิสะดวก เขาจึงเลือกที่จะพูดความจริงส่วนหนึ่ง เพราะทราบดีว่าตนมิใช่คนโกหกเก่ง หากบอกไม่ว่ามิชอบนางจะถูกจับได้แน่ ๆ
“หากชื่นชอบเพราะนางช่วยให้เจ้าไม่ต้องเหนื่อยก็แล้วไป”
พอได้รับอนุญาตจากบิดา คุณชายเจ้าสำอางก็แทบจะเก็บความดีใจเอาไว้มิอยู่ เขาพยักหน้ารับคำสั่งว่าให้รอจนพ้นช่วงบ่ายแล้วค่อยออกจากบ้าน รวมถึงต้องสวมเสื้อผ้าและหมวกให้มิดชิด
“ความจริงวันนี้มิน่าจะมีแดดแล้ว แต่ป้องกันเอาไว้ก่อนดีกว่า และอย่าลืมกลับบ้านให้เร็วที่สุด เข้าใจหรือไม่” โจวหงเหลียงกล่าวย้ำก่อนจะกลับเข้าห้องไปเอนหลัง การเดินทางทำให้เขาเหน็ดเหนื่อย จนแทบมิอยากจะบังคับจิตใจของใครอีกแล้ว
