บทที่ 12
“พี่เหยียน คุณชายบอกให้ท่านมาตามข้าไปทำบัญชีให้อีกแล้วหรือ” เสียงระฆังช่วยชีวิตของสามคนงานชะตาเกือบขาดดังขึ้น อาเหยียนจึงได้สติ มิเผลอตัวลงมือกับลูกจ้างปากเปราะให้เปลืองกำลัง ยิ่งพอเห็นนางขยิบตาคล้ายต้องการส่งสัญญาณ คนมองก็ถึงกับร้องรับคำอยู่ในใจ
ที่แท้หลี่ซินเหมยต้องการช่วยแก้ไขชื่อเสียงของคุณชายโจว
“คุณชายบอกว่าให้ดูแลแผลที่มือเจ้าให้ดี และช่วงนี้อย่าเพิ่งทำงานหนักมากนัก”
“ย้ำกันเสียตั้งหลายรอบ ข้าคงกระทำการขัดใจคุณชายไม่ได้แล้วกระมัง” หลี่ซินเหมยแสร้งทำเป็นบ่นต่อไปว่าคุณชายชอบเรียกเข้าไปในบ้านอยู่เรื่อย พร้อมทั้งชอบออกคำสั่งให้ช่วยทำบัญชี และลงบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกพืชผัก
“ความจริงข้าก็อยากจะอยู่ช่วยงานในสวน แต่ว่า”
นางหงายมือยื่นไปตรงหน้าและแสร้งทำเป็นถอนหายใจ ทั้งยังทำหน้าราวกับเจ็บปวดเสียเต็มประดา
“มือไม้พองไปหมดแล้ว ดูท่าน้องสาวคงจะเจ็บมาก ควรจะงดทำงานหนักในสวน และไปช่วยงานคุณชายโจวสักพัก” คนสวนตัวเล็กปากร้ายรีบเสนอ ราวกับเป็นหัวหน้าคนสวนเสียเอง ก่อนจะรีบออกคำสั่งให้เพื่อน ๆ พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนั้น
“ถ้าข้าไป ใครจะช่วยงานในสวนกันเล่า” หลี่ซินเหมยเผยสีหน้าลำบากใจ ทว่าข้างในกลับมีรอยยิ้มซ่อนอยู่ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าชายหนุ่มทั้งสาม ใจอ่อนกับสตรีอยู่เสมอ
“ข้าทำเอง!” อู๋ฮวนรีบเสนอตัว
“ข้าทำ ข้าจะทำทั้งหมด!” หูเฉินแจ้งความประสงค์เช่นกัน
สองสหายที่เงียบมาตลอด แข่งกันขันอาสาต่อหน้าสาวงาม และเมื่อเจ้าปากร้ายบอกว่าให้คอยช่วยกันโดยมิต้องแย่ง ทั้งสองจึงค่อยสงบลงไปได้บ้าง
“ตัวเล็กปากสุนัข ตัวโตสมองทึ่ม พูดจาไม่รู้จักคิด”
อาเหยียนด่าส่งทันทีที่คนสวนทั้งสามเดินหายลับสายตา เขามิชอบแสดงความขุ่นเคืองใจให้ผู้ใดเห็น แต่การได้ยินเรื่องบ้า ๆ ซ้ำหลายครั้งก็ทำให้หลุดการควบคุมได้อยู่เหมือนกัน
“สามคนนั้นปากพล่อยบ่อยครั้งก็จริง แต่รอสักหน่อยก็คงเบื่อจะพูดเรื่องส่วนตัวของคุณชาย และเปลี่ยนหัวข้อไปสนทนาเรื่องอื่นแทน พี่เหยียนอย่าได้วิตกกังวลมากจนเกินสมควร” หลี่ซินเหมยเปลี่ยนคำเรียกขาน เอาใจบุรุษที่มิเคยทำหน้าบึ้งให้นางเห็นมาก่อน
“เห็นแก่ที่ซินเหมยยอมเรียกข้าว่าพี่เหยียน จึงจะยอมละวางความโกรธลงสักครั้ง” อาเหยียนหยิบเอาเสื้อที่พาดอยู่บนรั้วแถวแปลงผักมาสวมลงบนผิวกายสีน้ำตาลเข้ม หลังจากปล่อยให้มันถูกแดดโลมเลียมาตลอดทั้งวัน
“เช่นนั้นข้าจะเรียกท่านว่าพี่เหยียนบ่อย ๆ จะได้อารมณ์ดีไม่คิดต่อยตีผู้ใดอีก ส่วนเรื่องทำตัวนักเลงไม่รู้จักคิดนั้น ให้ซินเหมยลงมือกระทำคนเดียวก็พอแล้ว”
“ไร้สาระ เป็นสตรีริจะหัดก่อเรื่อง!”
อาเหยียนดุนางขณะพากันเดินออกจากแปลงผักหลวง หลังจากตรวจตราทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว
“พูดเล่นเท่านั้น ไยพี่เหยียนต้องจริงจังจนน่ากลัว”
หลี่ซินเหมยรีบแก้
“แล้วนี่เจ้าถูกเรียกให้ไปช่วยทำบัญชีจริงหรือ”
“เดิมทีก็ไม่ค่อยอยากจะไปนัก แผลเล็กน้อยที่มือนั่นก็ยังพอจะทนได้ แต่คุณชายดูเหงาและ...” หลี่ซินเหมยมิกล้าเฉลยความคิดของตน
“ต้องการเพื่อนใช่หรือไม่” อาเหยียนชิงสอบถาม
“ความจริงเรื่องของเจ้านาย ลูกจ้างไม่ควรสอด”
“อยากสอดก็สอดเถิด คุณชายเหงามากจริงๆ นอกจากข้าแล้ว เขาก็ไม่มีใครอีก”
“พี่เหยียนพูดเหมือนรู้จักมักคุ้นกันมานาน”
“ยามยังเยาว์สนิทกันมาก แต่ข้ากลับสร้างเรื่องมิน่าให้อภัย และยังรู้สึกผิดจวบจนทุกวันนี้”
อาเหยียนเล่าเรื่องที่เขายอมใจอ่อน พาคุณชายลอบหนีไปเที่ยวในเมือง รู้ตัวอีกสหายผู้ควบตำแหน่งบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้านายบิดาก็สิ้นสติ ใบหน้าแดงก่ำราวกับผลพุทราเชื่อมแนบชิดลงไปบนพื้นถนนสกปรกแล้ว
อาเหยียนในยามนั้นตกใจจนไม่กล้าขยับตัว
“พี่เหยียนกล่าวว่าคุณชายเป็นผู้บังคับให้พาออกไปเที่ยว หากจะโทษผู้ใด ก็ควรเป็นผู้ที่ออกความคิด วางแผนการมิใช่หรือ” หลี่ซินเหมยรีบค้าน พลางนึกโกรธที่คุณชายไม่รู้จักรับผิดชอบกับการตัดสินใจของตน ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนไปด้วย
“เจ้าไม่เข้าใจ หน้าที่ข้ายามนั้นคืออยู่เล่นเป็นเพื่อนคุณชาย แต่คุณชายกลับวิ่งไม่ได้ ออกกำลังไม่ได้ บางครั้งเขาก็ป่วยเสียหลายวัน และนั่นยิ่งทำให้ข้าโมโห พอถูกบังคับให้อยู่แต่ในบ้านมากเข้าก็เริ่มเบื่อ งอแงอยากจะหนีไปเที่ยวซุกซนในเมืองตามประสา อยากคบหาเพื่อนใหม่ที่บุกป่าลุยน้ำได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะป่วย”
“ยามนั้นพี่เหยียนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว ย่อมต้องอยากจะคบหาเพื่อนฝูงรุ่นเดียวกัน จึงไม่สมควรกล่าวโทษตนเอง”
“ซินเหมย คุณชายออกคำสั่งให้ข้าพาหนีเที่ยว เพราะต้องการเอาใจสหายที่ไม่ได้เรื่องอย่างข้าต่างหากเล่า” อาเหยียนเฉลยต่อไปอีกว่า ยามนั้นหากคุณชายมิได้ยืนยันว่าตนเป็นผู้ออกคำสั่งบังคับ ทั้งเขาและบิดาคงจะถูกไล่ออกจากแปลงผัก แทนการย้ายไปประจำการที่ต่างเมืองแล้ว
“แล้วเรื่องของเสี่ยวถิงเล่า เหตุใดนางจึงเกลียดหน้าข้านัก”
“นั่นก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องสนทนากันยาว แต่ในเมื่อเรามีเวลาไม่มาก ข้าก็จะสรุปให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้”
เรื่องที่ได้รับฟังจากปากของหัวหน้าคนสวน ทำให้หลี่ซินเหมยใจอ่อนกับคุณชายเจ้าสำอางอยู่หลายส่วน เดิมทีตั้งใจแล้วว่าจะไม่ผูกสัมพันธ์กับผู้ใดและใช้ชีวิตให้เรียบง่าย เพราะไม่ต้องการทนกับความผิดหวังที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
แต่ในเมื่อนางหาญกล้าเปิดใจให้อาเหยียน จนถึงขั้นเรียกขานนับถือกันว่าเป็นพี่ชายน้องสาวแล้ว การยอมลดกำแพงและรับคุณชายขี้เหงาเข้ามาเป็นสหายด้วยอีกคน คงมิใช่ปัญหาใหญ่กระมัง
