4.สอนในสิ่งที่ท่านไม่รู้
ว่าไงนะ?
ฉันยังไม่ทันได้ถามออกไปเลยว่า คำกล่าวของท่านแม่มันหมายความว่าอย่างไรกัน ท่านแม่ก็สั่งให้ข้ารับใช้ทั้งหมดออกไปจากที่นี่ หลังจากนั้นท่านก็สวมสร้อยคอที่ถืออยู่ให้ฉัน
“ตระกูลของเราจะสามารถล่วงรู้ได้เมื่อตัวเองกำลังจะตาย และเวลาของแม่มาถึงแล้วลูกรัก”
เอเวียลูบผมของโอฟีเลียเบาๆ ด้วยความรักใคร่ นางมองลูกสาวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
โอฟีเลียขบเม้มริมฝีปากเบาๆ
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะที่ท่านแม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย..ตั้งแต่ที่ท่านพาทาสคนนั้นมาให้ลูกอย่างนั้นหรือ?”
เพราะท่านแม่มองเห็นอนาคตก็เลยพยายามหาคนมาอยู่กับเธอสินะ แต่ไม่ว่าใครเธอก็ไม่ต้องการทั้งนั้น
“อืม..แม่โกหกลูกไม่ได้เลยสินะลูกรัก ฤดูหนาวปีหน้าแม่จะตาย ส่วนสาเหตุการตายนั้นแม่มองไม่เห็นเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร”
โอฟีเลียพยายามสูดหายใจเข้าปอดในขณะที่หัวใจของเธอเต้นรัว เหงื่อเม็ดโตผุดซึมขึ้นมาที่หน้าผาก
“ลูกเก่งมากเลยนะ ลูกสามารถดูแล แอเรียนาของเราได้ ลูกทำให้แม่เห็นว่าต่อให้ไม่มีแม่ลูกก็สามารถอยู่ที่นี่ในฐานะของดัชเชสแอเรียนาได้อย่างไร้ที่ติ”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ ลูกยังบกพร่องและต้องการคำแนะนำจากท่านแม่อีกมาก”
เอเวียจับมือของโอฟีเลียเอาไว้แน่น
“ไม่เอาน่าลูกรัก แม่คิดว่าการที่เราล่วงรู้เวลาตายของตัวเองมันคือพรจากพระเจ้านะ แม่ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงอีกแล้ว เพราะลูกจะมีเด็กคนนี้อยู่เป็นเพื่อนและคอยปกป้องลูกตลอดไป”
โอฟีเลียเหลือบมองคาลอสที่กำลังนั่งอยู่นิ่งๆ เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองหน้าเธอ
เขาเป็นตัวร้ายที่หล่อสะบัดเลย แต่ในยามนี้เธอไม่มีอารมณ์จะมาชื่นชมใบหน้าของเขาหรอกนะ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นแค่ผู้สวมร่างแต่เธอผูกพันกับดัชเชสมาก เหมือนกับว่าเราทั้งคู่คือแม่ลูกกันจริงๆ
“ไม่ต้องกังวลลูกรัก หากว่าลูกเรียนรู้ที่จะใช้พลังลูกเองก็สามารถล่วงรู้วันตายของตัวเองได้เหมือนกัน”
ความตั้งใจแรกของฉันที่เข้ามาอยู่ในนิยายเรื่องนี้ คือการเปลี่ยนสตอรี่ให้ตัวฉันและท่านแม่รอดพ้นจากความตาย ฉันคิดว่านั่นไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เพราะว่าสาเหตุการตายของฉันและท่านแม่ตามในนิยายคือการกักขัง หน่วงเหนี่ยวจูเลียนเอาไว้ แต่นี่เราก็ปล่อยให้จูเลียนเป็นอิสระแล้วนี่..ทำไมท่านแม่ยังต้องตายอีกล่ะ
หรือเป็นเพราะหมอนี่ เพราะว่าท่านแม่จับตัวของหมอนี่มาใช่ไหม? หากเป็นกรณีเดียวกันกับจูเลียน ฉันคงสามารถปล่อยเขาไปได้ แต่นี่เขา..ทำท่าทางเหมือนกับเด็กที่ต้องการความเอาใจใส่จากฉันเลย เพราะถูกล้างสมองก็เลยไม่มีความทรงจำใดๆหลงเหลืออยู่เลยสินะ
“เจ้ามีชื่อเรียกรึเปล่า?”
ฉันเอ่ยถามออกไปเมื่อเราอยู่ตามลำพังด้วยกันสองคน
“ไม่มีครับ ท่านอยากเรียกข้าว่าอะไรอย่างนั้นหรือ”
เขาเดินเข้ามาหาเธอก่อนจะกอดเอวของเธอเอาไว้แน่น โอฟีเลียไม่คุ้นชินเท่าไหร่กับการสกินชิฟของเขา แต่ทว่าเธอก็ไม่ได้ผลักไสเขาออกไป
เขามีชื่อว่าคาลอส แต่เธอไม่ควรเรียกชื่อของเขา และไม่ควรให้เขารู้ชื่อของตัวเองด้วย ในนิยายนั้นขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยมของคาลอสเป็นอย่างมาก เขาคลั่งไคล้จูเลียนมาเกินปกติ จนยินยอมก่อสงครามเพื่อบีบบังคับให้องค์รัชทายาทส่งตัวจูเลียนมาให้เขา
เพื่อสตรีผู้นั้นแล้วคาลอสยินยอมเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์เพื่อให้ได้มาซึ่งความสนใจจากจูเลียน
“เช่นนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่า คาเซลก็แล้วกัน”
“ครับ..ชื่ออะไรที่ท่านตั้งให้ข้าล้วนแล้วแต่ชื่นชอบทั้งนั้น”
บอกตามตรงว่าการทำใจให้ชินกับความสนิทสนมและแววตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหลของเขานั้นมันไม่ง่ายเอาซะเลย
“เช่นนั้นเจ้าควรจะปล่อยข้าก่อน ข้าจะไปทำงาน..”
เมื่อเธอลุกขึ้นเขาก็ตรงเข้ามาโอบกอดเธอจากทางด้านหลังในทันที เขาแนบใบหน้าลงบนไหล่ของเธอราวกับว่ากำลังออดอ้อน
“ข้าอยู่ห่างจากท่านไม่ได้หรอกนะครับ มันเจ็บปวดราวกับว่าหัวใจของข้าจะระเบิดออกมาเลย ให้ข้าไปด้วยนะครับ หากเป็นเรื่องงานข้ามั่นใจว่าข้าสามารถช่วยท่านได้.."
ใบหน้าหวานขึ้นเป็นสีแดงระเรื่อ เมื่อริมฝีปากของเขาหว่านพรมรอยจูบลงไปบนซอกคอขาวเนียนของเธอ แล้วทิ้งรอยสีแดงเอาไว้บนนั้น
ให้ตายสิ ฉันไม่เคยใกล้ชิดกับใครเช่นนี้มาก่อนเลยทั้งชีวิตครั้งที่แล้วและชีวิตครั้งนี้ เพราะแบบนั้นฉันก็เลยทำตัวไม่ถูกแบบสุดๆ
นี่คือเรื่องปกติระหว่างนายหญิงและทาสของเธออย่างนั้นหรือ? มันจะออกแนว 18+ มากไปหน่อยไหมนเนี่ย
“คาเซล หากเจ้ากอดข้าเช่นนั้นข้าไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปที่ห้องทำงานอย่างไรดี เพราะอย่างนั้นปล่อยข้าก่อน..”
เธอยังไม่ทันจะพูดจบเขาก็อุ้มเธอขึ้นมาในทันที
“ห้องทำงานของท่านอยู่ที่ไหนอย่างนั้นหรือครับ ให้ข้าพาคุณหนูไปนะครับ”
สาบานได้เลยว่าเธอไม่ได้หมายความแบบนี้สักหน่อย โอฟีเลียจ้องมองไปในดวงตาสีทับทิมของเขา..
มันว่างเปล่าและไม่มีอะไรอยู่ในนั้นเลย หมายความว่าที่เขาทำทั้งหมดที่ว่ามานี้ เป็นเพราะพลังการล้างสมองที่เก่งกาจของท่านแม่
แล้ว..มันจะมีวันที่สิ้นสุดไหมนะ หมายถึงวันที่เขาจดจำเรื่องราวทั้งหมดได้ และเมื่อถึงวันนั้นไม่ใช่ว่าเธอจะเจ็บปวดเจียนตายจากการเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเขาหรอกนะ
เพื่อป้องกันเรื่องเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ฉันจะต้องไม่หลงใหลไปกับการกระทำที่ไม่ได้มาจากใจของเขา..
“คาเซล เจ้ากำลังสัมผัสตรงไหนกัน?”
มือของเขาเลื่อนไล้ไปตามโคนขาของเธอ และเพราะว่าเขากำลังอุ้มเธออยู่เพราะอย่างนั้นต่อให้โอฟีเลียจะดิ้นไปมาในอ้อมแขนของเขาก็ไม่เป็นผลเลยสักนิดเดียว
มือของเขาจมหายเข้าไปใต้กระโปรงของเธอ ก่อนจะสัมผัสลงไปเบาๆ บริเวณเหนือกางเกงซับในสีงาช้าง
“คาเซล!!”
“อย่างที่คิดเอาไว้เลยนะครับ คุณหนูยังไม่เคยมีทาสชายอยู่ข้างกายมาก่อนจริงๆ ด้วย ท่านไม่เคยแม้กระทั่งจะแตะต้องส่วนนี้ของตัวเองเลยด้วยซ้ำ..”
เธอเบือนหน้าหนีเขาเพื่อหลบสายตาที่เขามองมา
“แล้วมันแปลกนักรึไง! เจ้ากำลังทำเรื่องที่ไม่สมควรทำอยู่นะคาเซล!!"
เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนดันแผ่นหลังของโอฟีเลียไปติดกับผนังของทางเดิน เข่าของเขาสอดเข้าไปตรงกลางหว่างขา คาเซลดันหัวเข่าของเขาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนมันชนกันกับส่วนนั้นของเธออย่างพอดิบพอดี
“ไม่แปลกหรอกครับ ท่านไม่รู้ก็ไม่ได้ผิดอะไรหรอกคุณหนู เพราะว่าหน้าที่ของข้าคือการสอนให้ท่านรับรู้ในเรื่องที่ท่านไม่รู้ รวมไปถึงเรื่องเช่นนี้ด้วย..”
เขาโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้เสียจนเธอรับรู้ได้ถึงไอร้อนๆ จากลมหายใจของเขา
โอฟีเลียพยายามจะดันใบหน้าของเขาออก แต่ทว่าคาเซลก็ไม่มีทีท่าว่าจะหันหน้าหนีเลย เขาแสยะยิ้มออกมาแล้วฝังจมูกลงไปบนซอกคอขาวเนียนอีกครั้ง