3
วิชชากรอายุของเขามากกว่าชลดาถึงเกือบสิบปี เขาจึงรักและดูแลน้องสาวเป็นอย่างดี และเขารู้ว่าการที่เขาพูดจาแบบนั้นกับสมาชิกใหม่ของบ้านคงทำให้น้องสาวของเขาเสียความรู้สึก
ความรู้สึกผิด ความสงสาร มันพยายามเอาชนะความโกรธและเมื่อเวลาที่เขาอยู่คนเดียวแบบนี้มันเอาชนะได้สำเร็จเสียด้วย แต่ไม่รู้เหมือนกันทำไมต่อหน้าคนอื่นเขาถึงต้องปล่อยให้ความโกรธมันเอาชนะทุกที
ทุกคนมาพร้อมที่โต๊ะอาหารในเวลาหนึ่งทุ่มตรงเพราะเป็นเวลาที่บ้านหลังนี้จะกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ยกเว้นใครติดธุระจะต้องโทรศัพท์มาบอกก่อนเพื่อไม่ให้คนอื่นต้องรอ
“ลูกสาวคนใหม่ของคุณแม่ทำไมยังไม่มาล่ะครับ ไม่รู้หรือไงว่าที่นี่เขาต้องกินข้าวเวลาไหนกัน”
ภาวินีถอนหายใจให้กับคำพูดประชดประชันของลูกชาย ที่ฟังดูหาเรื่องไม่เว้นแหมกระทั่งเจ้าตัวเขาไม่อยู่
“นลินเขากินกับแม่บ้านในครัว ถ้าแม่ให้ออกมากินข้างนอกแล้วลูกจะพูดจาไม่ดีกับเธอแม่คงกินข้าวไม่อร่อยแยกกันดีอยู่แล้ว”
ชลดาสังเกตสีหน้าพี่ชาย เขากินข้าวไปก็แอบมองไปที่ครัวตลอด ไม่รู้ว่ามองจะหาเรื่องหรือจริง ๆ ก็แอบสงสารนลินอยู่ก็ไม่รู้
“พี่กรจะให้เธอมากินข้าวกับเราไหมล่ะคะ ชลจะได้บอกให้ เอาที่พี่สบายใจนะคะ ทุกคนจะได้ไม่ต้องนั่งกินข้าวกลางสงครามกัน”
ภาวินีได้ยินที่ลูกสาวถาม ก็พอจะเริ่มดูออกว่าลูกชายของเขาลึก ๆ ก็แอบสงสารนลินแต่ด้วยยังโกรธและเสียใจเรื่องบิดาอยู่จึงอดใจไม่ได้เวลาเห็นหน้าอีกฝ่าย
“ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่พรุ่งนี้ก็ให้นลินเขามากินข้าวกับเรา และแม่หวังว่ากรจะมีมารยาทบนโต๊ะอาหารนะลูก”
“แล้วแต่คุณแม่เลยครับ ผมก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้ว ถ้าเธอจะไม่ทำอะไรให้ผมรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา”
ชลดาและภาวินีต่างมองหน้ากัน ทั้งสองอ่านใจของวิชชากรออกแต่ลึก ๆ ก็ยังหวั่นอยู่กลัวพี่ชายจะแผลงฤทธิ์ขึ้นมาวันไหนไม่รู้