๒.๒ เมียเก่า
“ผมไม่ชอบให้ใครรอ เพราะมันจะทำให้ผมทานข้าวไม่อร่อย”
“คุณปราณต์จะให้นัสทำยังไงคะ”
“ก็ไปกับผมสิ”
“แต่นัสไม่หิวค่ะ”
“ไม่หิวหรือไม่กล้าไปกับผัวเก่าสองต่อสองกันแน่” ปราณต์ทำเสียงหมิ่นๆ พร้อมก้มลงจ้องมองหน้าอดีตภรรยาอย่างท้าทายแกมรู้ทัน
นัสรินหน้าร้อนซ่านเมื่อได้ยินคำว่า ‘ผัวเก่า’ จากปากของปราณต์ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นสีหน้าและแววตาของเขาก็เหมือนกับท้าให้เธอพิสูจน์ตัวเอง ว่าเธอไม่ได้มีเยื่อใยอะไรกับเขาแล้ว หากเป็นคนอื่นที่มั่นใจในตัวเองมากกว่าเธอ คงรับคำท้าของเขาไปแล้ว แต่นัสรินรู้ดีว่าปราณต์พูดเฉียดความจริงแค่ไหน
“นัสก็แค่...”
“กลัวผัวใหม่จะว่าเอา” ปราณต์รีบเอ่ยดักคอ
“นัสยังไม่มีผัวใหม่ค่ะ” หลุดปากไปแล้วนัสรินก็นึกอยากกัดลิ้นตัวเอง เพราะปราณต์อาจจะนึกหัวเราะเยาะเอาได้ว่าเธอไม่มีปัญญาหาผู้ชายอื่นมาแทนที่เขา นัสรินคิดในทางร้ายๆ โดยไม่รู้หรอกว่า คำพูดนั้นทำให้คนฟังแอบโล่งใจแค่ไหน
“อ้อ...ยังไม่มีปัญญาหาผัวเองเหมือนเดิมสินะ”
คำพูดดังกล่าวติดจะหยันๆ ทั้งๆ ที่ในใจนั้นลิงโลดอย่างบอกไม่ถูก ปราณต์ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเขากลายเป็นผู้ชายปากจัดตั้งแต่เมื่อไหร่ หรืออาจจะเพิ่งเป็นตั้งแต่ตอนที่เห็นนัสรินเดินเข้ามา หรือเป็นตั้งแต่ที่ได้ล่วงรู้ถึงแผนการของน้องชายกับอดีตภรรยาอย่างนัสรินในวันแต่งงานของเขากับเธอ
“ค่ะ นัสรอคุณพ่อกับคุณแม่หาคนใหม่ให้อยู่ค่ะ” นัสรินยอมรับง่ายๆ ในลักษณะเหมือนประชดกลับไป ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้มาปะทะคารมกับคนที่ตัวเองไม่เคยตัดใจจากเขาได้เลย
“ว่านอนสอนง่ายดีนี่ ไปเถอะผมหิวแล้ว”
จบคำร่างสูงก็ก้าวยาวๆ นำหน้าไปยังประตู ทำให้นัสรินจำต้องเดินตาม ไหนๆ ก็เผชิญหน้ากันอย่างเลี่ยงไม่ได้แล้ว อดทนต่ออีกสักชั่วโมงจะเป็นไรไป
ปราณต์เดินมาที่รถของเขาซึ่งอยู่ในลานจอดรถที่ล็อกไว้ให้สำหรับหมอและบุคลากรของโรงพยาบาลโดยเฉพาะ เขาเปิดประตูหน้ารอให้นัสรินก้าวเข้าไปนั่งข้างในก่อน จึงค่อยเดินอ้อมไปฝั่งคนขับ
มือเรียวเล็กเผลอจิกกระเป๋าตัวเองแน่น เมื่อถูกขังอยู่ในบรรยากาศอันเป็นส่วนตัวแบบสองต่อสองอีกครั้ง ผิดแต่เพียงในรถมันแคบกว่าห้องของหมอชัชวาล แถมปราณต์ก็ไม่ยอมเปิดเพลง จึงทำให้แทบจะได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน นัสรินจำได้ว่ารถคันนี้ตัวเองเคยนั่งคู่กับเขาไม่เกินห้าครั้งตลอดช่วงที่แต่งงานกัน และวันสุดท้ายที่ได้นั่งด้วยกันก็คือวันที่เขามารับไปหย่า จากนั้นเธอกับเขาต่างก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมองอย่างอดไม่ได้ ว่าที่นั่งที่เธอนั่งอยู่ตอนนี้มีใครมานั่งแทนหรือยัง หากเธอกล้ามากกว่านี้และปากจัดเหมือนปราณต์ เธอคงถามเขาไปตรงๆ เหมือนที่เขาถามเธอแล้ว ทว่าความกล้าของเธอห่างไกลกับเขาลิบลับ แต่ที่กลัวไปกว่านั้นก็คือความจริงอันน่าเจ็บปวด หากเขาบอกว่าเขามีคนใหม่แล้ว ดังนั้นนัสรินจึงเลือกจะไม่ยอมรับรู้อะไร ที่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของอดีตสามี
อีกสิบกว่านาทีต่อมา รถของปราณต์ซึ่งมีนัสรินนั่งมาด้วยก็แล่นเข้าจอดเทียบยังลานจอดรถของร้านอาหารบรรยากาศสไตล์ล้านนาร้านหนึ่ง ร่างบางเดินตามเขาเข้าไปในร้านเงียบๆ ปราณต์เป็นคนเลือกโต๊ะและสั่งอาหารเองทั้งหมดโดยไม่ได้ถามความคิดเห็นของเธอแต่อย่างใด ทว่าอาหารสี่เมนูที่เขาสั่งไปนั้นก็บอกอยู่ในทีว่าเขาสั่งเผื่อแล้ว
บรรยากาศในร้านช่วงเที่ยงๆ แบบนี้คนค่อนข้างจะคึกคัก ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็รอไม่นานนัก พนักงานก็เริ่มนำอาหารมาเสิร์ฟจนครบ ปราณต์พยักหน้าให้อดีตภรรยาเป็นเชิงว่าให้ลงมือรับประทานอาหารได้แล้ว นัสรินจึงต้องจับช้อนมาตักอาหารใส่จานตัวเองทั้งที่ไม่หิวเลยสักนิด ความรู้สึกมันตื้อตั้งแต่พบปราณต์แบบไม่คาดคิด ทำให้ไม่นึกอยากให้มีอะไรลงไปในท้องเลย
“นึกยังไงถึงมาทำงานขายยา” ปราณต์ถามขึ้นหลังจากปล่อยให้บรรยากาศระหว่างเขาและเธอเงียบอยู่นานพอสมควร
“เงินดีค่ะ” เสียงหวานที่ตอนนี้ไม่สั่นแล้วตอบออกไปเรียบๆ
“ยังเห็นแก่เงินเหมือนเดิม”
“ค่ะ ทำไงได้ล่ะคะในเมื่อเงินมันคือปัจจัยขับเคลื่อนชีวิตอย่างหนึ่งไปแล้ว” แม้จะหน้าชากับคำพูดของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่นัสรินก็ตอบโต้ไปตามที่ตัวเองพอจะคิดออก
“แล้วเข้ามาทำงานตำแหน่งนี้ได้ยังไง ใช้เส้นสายของพ่ออีกล่ะสิ”
“ค่ะ...” คนถูกถามตอบสั้นๆ จนคนฟังรู้สึกหงุดหงิด นัสรินคร้านจะอธิบาย ในเมื่อปราณต์เต็มไปด้วยอคติที่มีต่อเธอ พูดไปเขาก็คงไม่มีวันเชื่อ ว่าเธอเข้าทำงานในบริษัทยาชื่อดังนี้ได้ด้วยความสามารถของตัวเอง แม้ว่าเธอจะไม่ใช่ผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง และไม่ใช่คนที่เก่งมากมายอะไรหากจะเทียบกับสาวสมัยใหม่ ทว่าสิ่งที่เธอมีติดตัวก็คือความรู้ด้านภาษาอังกฤษในระดับดีเยี่ยม เพราะพ่อแม่ส่งให้เรียนโรงเรียนนานาชาติตั้งแต่ยังเด็ก นั่นจึงเป็นใบเบิกทางอย่างดีที่ทำให้เธอได้ทำงานที่บริษัทยาชื่อดังแห่งนี้ และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พ่อของเธอต้องไปกู้หนี้ยืมสินจากเพื่อนรักซึ่งเป็นพ่อของปราณต์มาส่งเสียเธอเรียน เพราะลำพังเงินเดือนทหารไม่พอสำหรับค่าเทอมที่แสนจะแพงมหาศาลของโรงเรียนนานาชาติ ดังนั้นเมื่อพ่อกับแม่บอกว่าอยากให้เธอแต่งงานกับปรัชญ์ เพื่อเป็นการชดใช้หนี้สินของครอบครัว เธอจึงไม่ปฏิเสธมาแต่ต้น
“เข้าใจเลือกงานนะ รายได้ดีไม่พอ เผื่อจะฟลุกได้ผัวเป็นหมออีกสักคนต่างหาก”
มือที่กำลังจะตักข้าวอีกคำเข้าปากต้องหยุดชะงัก ก่อนจะวางช้อนในมือลง รวบไปไว้ด้านหนึ่งของจาน แล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม เพราะเธออิ่มคำประชดแดกดันของเขาจนฝืนกินอะไรไม่ได้อีกต่อไป
“นัสอิ่มแล้วค่ะ”
“อิ่มก็นั่งรอไปก่อน ผมยังไม่อิ่ม”
ปราณต์บอกอย่างไม่คิดจะสนใจ ว่าเธอจะกินมากกินน้อย เขายังคงตักนั่นตักนี่ใส่จานแล้วค่อยๆ ละเลียดอย่างใจเย็น จนเวลาล่วงเลยจากเที่ยงไปใกล้บ่ายโมง
คนรอเริ่มกระวนกระวาย เพราะเธอจองตั๋วเครื่องบินกลับไว้ในไฟลท์บ่ายสาม แต่อย่างน้อยก็ต้องไปถึงสนามบินและเช็กอินก่อนสี่สิบห้านาที ดังนั้นตอนนี้เธอจึงเหลือเวลาแค่ประมาณหนึ่งชั่วโมงที่จะคุยรายละเอียดเกี่ยวกับยา ข้อตกลงซื้อขาย และรายละเอียดต่างๆ ในสัญญาที่จะเป็นภาระผูกพันกันต่อไป
“คุณปราณต์ไม่กลับไปทำงานหรือไงคะ” นัสรินพักเรื่องส่วนตัวของตัวเองลงชั่วขณะ เอ่ยถามเขาออกไปคล้ายกับเร่งอยู่ในที เพราะเธอต้องการปิดจ็อบนี้ให้ได้วันนี้
“ช่วงบ่ายผมไม่มีเคส และไม่ใช่เวรตรวจคนไข้ในด้วยเพราะฉะนั้นผมไม่รีบ”
“แต่นัสรีบค่ะ นัสจองตั๋วเครื่องบินไปกลับ ถ้าคุณปราณต์ไม่คุยตอนนี้นัสอาจตกเครื่อง”
“ผมจำเป็นต้องตกลงซื้อยาที่คุณมาเสนอให้แค่ไหน”
“นัสบอกไม่ได้หรอกนะคะว่าจำเป็นมากหรือน้อยแค่ไหน เพราะคุณปราณต์คือคนที่ต้องตัดสินใจ แต่สรรพคุณของยาตัวนี้ดีมาก ราคาก็ค่อนข้างถูกหากจะเทียบกับยานอกยี่ห้ออื่น อย่างน้อยก็เป็นการเปิดโอกาสในการเข้าถึงยาสำหรับคนไข้ที่มีรายได้น้อยนะคะ”
“เข้าใจพูดนะ”
คำพูดนั้นก็ยังไม่แคล้วจะแดกดัน แต่นัสรินเลือกที่จะไม่เก็บมาเป็นอารมณ์
“นัสแค่พูดตามความจริง”
“ผู้หญิงอย่างคุณรู้จักพูดความจริงด้วยเหรอ”
“นัสไม่เคยโกหกค่ะ นัสพูดความจริงมาตลอด”
“แล้วไอ้ที่ร่วมมือกับปรัชญ์ตลบหลังผมล่ะ นั่นเรียกว่าความจริงด้วยหรือเปล่า”
“เอ่อ...นัส...คือนัส...” นัสรินพูดไม่ออก ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าจะขอโทษเขาถึงเรื่องคราวนั้น นี่เองกระมังสาเหตุของความเย็นชาและใจร้ายของปราณต์ เพราะเขารู้ความจริงนี่เองว่าการแต่งงานระหว่างเธอกับเขาไม่ใช่เพราะสถานการณ์มันบังคับ แต่เป็นเพราะเธอกับปรัชญ์ร่วมมือกันวางแผน จนเขาต้องมาแต่งงานกับเธอแทนปรัชญ์ต่างหาก
“พูดไม่ออกเลยล่ะสิท่า แล้วผมล่ะนัสริน ตอนที่รู้ความจริงตอนที่ได้ยินกับหูตัวเองว่าเรื่องราวทั้งหมดมันเป็นแค่การจัดฉาก ผมจะรู้สึกยังไง ผมยอมแต่งงานกับคุณก็เพราะสงสาร กลัวว่าจะเป็นหม้ายขันหมาก กลัวจะอับอาย และที่สำคัญแม่ผมเครียดจนแทบจะเป็นลมที่จู่ๆ งานแต่งก็จะล่มเอาดื้อๆ แต่กลับกลายเป็นว่าคุณกับปรัชญ์ตกลงกันมาอย่างดีตั้งนานสองนานแล้ว”
“ถ้าย้อนเวลาได้นัสจะไม่ทำแบบนั้นค่ะ ที่นัสตัดสินใจทำไปแบบนั้นก็เพราะนัส...” กำลังจะบอกว่าเพราะเธอแอบรักเขามาตั้งแต่ได้เห็นหน้าครั้งแรกแล้ว เมื่อปรัชญ์ขอยกเลิกการแต่งงานกับเธอและเสนอให้เธอแต่งงานกับเขาแทน เธอจึงไม่ปฏิเสธ
“เพราะเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงิน และเห็นผมเป็นตัวตลกใช่ไหม” ปราณต์ไม่ยอมฟังให้จบก็ชิงพูดแทรกขึ้นตามอารมณ์ที่คั่งค้างอยู่ในใจมาเป็นแรมปี
“นัสไม่สามารถที่จะย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้ แต่นัสก็ชดเชยให้คุณไปหมดแล้วไงคะ”
คำว่าชดเชยในความหมายของนัสรินก็คือการคืนอิสรภาพให้เขา และยอมจากไปเงียบๆ โดยไม่ได้เรียกร้องอะไรจากเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่าความหมายของปราณต์มันกลับเป็นคนละอย่าง