บทที่1.สาวน้อยสุดอาภัพ
บทที่1.สาวน้อยสุดอาภัพ
กระท่อมหลังน้อยปลูกสร้างอยู่ใกล้ๆ วัดแห่งหนึ่ง มีสองชีวิตอาศัยอยู่ใต้หลังคาสังกะสีเก่าๆ ที่ผุพังใกล้ถึงเวลาปลดละวางเต็มทน ความจนทำให้ยายสร้อยกัดฟันทน นางทำงานรับจ้างทั่วไป หาเลี้ยงหลานกำพร้าคนเดียวที่สิ้นทั้งบิดา มารดาตั้งแต่อายุไม่ถึงเก้าปีดี นิรดาซึ่งเติบโตมาอย่างเข้มแข็ง วันนี้ในวัยสิบแปดปี สาวน้อยวัยรุ่นไม่เคยน้อยใจกับวาสนาอันต่ำต้อยของตนเอง สิ่งที่นิรดาทำคือการช่วยงานทุกอย่างที่ตนเองทำได้ เพราะอยากแบ่งเบาภาระให้กับยายซึ่งแก่ตัวลงทุกวันให้ยายสร้อยมีเวลาพักเหมือนกับคนสูงอายุคนอื่น
แดดยามเช้าปลายฤดูหนาว อีกสองเดือนนิรดาก็กำลังจะเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ความหวังของเธอคือการเรียนให้สูงขึ้น เพื่อวันหน้าจะได้มีงานมั่นคงทำ และใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาเลี้ยงดูยายสร้อยที่แก่เฒ่าลงไปทุกวันอย่างดี ความหวังนั้นริบหรี่และจวนจะดับมอด เพราะแค่เลี้ยงปากท้องสองยาย หลานก็ยังต้องกระเบียดกระเสียรกันเต็มที่ อะไรที่เคยอยากได้ ไม่เคยได้อย่างใจหวัง... ค่ายาอันน้อยนิดของยายสร้อยบางครั้งยังไม่มีเงินจ่าย นิรดาพยายามใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ พื้นดินในเขตรั้วบ้านมีน้อยนิดก็จริง แต่เธอใช้สอยเต็มที่ ผักหลายอย่างเธอปลูกไว้ตามพื้นที่ว่างๆ ผลของความขยัน เธอกับยายมีผักกินทั้งปี โดยไม่ต้องซื้อ มะเขือเทศต้นเล็กๆ แต่ลูกดกเต็มต้น คะน้าต้นใหญ่อวบชูใบสลอน ผักกาดที่กำลังเขียวสะพรั่งยืนต้นแข่งกับแปลงต้นหอม แม้กระทั่งต้นแคต้นเตี้ยๆ ยังออกดอกดกจนหล่นเกลื่อนพื้น
หญิงสาวในชุดวอร์มเก่าๆ ที่ใช้มาหลายปีจนสีเดิมซีดลง นิรดาเอี้ยวตัวยกแขนไขว่กัน เพื่อคลายความเมื่อยล้า หลังจากนอนขดมาทั้งคืน เธอสละผ้าห่มผืนบางๆ ผืนเดียวห่มให้ยายสร้อย เมื่อคนแก่ๆ ตอนที่มีอากาศเย็น คนแก่ที่หัวเข่าไม่ดีมักจะมีอาการปวดตามข้อตอนดึกๆ
นิรดาฉวยถังน้ำพลาสติก เดินไปตักน้ำจากลำธารที่ไหลผ่านหน้าบ้าน มารดน้ำให้กับพืชผักที่เธอปลูกไว้ แล้วจึงรีบเข้าไปหุงหาอาหารเช้าเตรียมไว้ให้ยาย เธอกระโจมอก ออกมาอาบน้ำที่ท่าไม้หน้าบ้าน รีบแต่งตัวไปโรงเรียนที่อยู่ไกลออกไปไม่เท่าไหร่แต่เช้าตรู่
ดังนั้นเมื่อยายสร้อยตื่นนอน นางจึงไม่ได้พบหลานสาวแล้ว
หญิงสูงวัยมองสำรับกับข้าวที่นิรดาเตรียมไว้ให้ ด้วยดวงตาเออน้ำใสใส ยายสร้อยอยากจะกลับมาแข็งแรงมีกำลังเหมือนเก่า เมื่อนางอยากส่งเสียให้หลานสาวได้เรียนสูงๆ อย่างที่เจ้าตัวหวัง แต่วัยที่เกินเลข6มาหลายปีไม่อำนวยให้ตัวเองทำเช่นนั้นได้ นางเหนื่อยง่ายขึ้น เรี่ยวแรงที่เคยมีก็เริ่มลดน้อยถอยลง
นิรดาเดินเอื่อยๆ ไม่ได้เร่งร้อน เธอออกมาแต่เช้าเพราะไม่อยากใช้สตางค์ที่มีน้อยนิดไปกับค่าโดยสารรถประจำทาง หญิงสาวใช้กำลังเดินด้วยสองขา ประหยัดอดออมเพียงน้อยนิด เพื่อไม่ต้องให้ยายทำงานมากขึ้น
“นิดาๆ” เสียงตะโกนเรียกดังๆ มาจากรถปิคอัฟใหม่เอี่ยม มีเด็กสาวรุ่นเดียวกันกับเธอโผล่หน้าออกมาทางช่องหน้าต่าง พร้อมกับตะโกนเรียก
“ดีจ้าเพชร” หญิงสาวโบกมือตอบกลับยิ้มตอบไปในทันใด
เพชรชมพูเป็นเพื่อนเรียนชั้นเดียวกันกับเธอ เพื่อนสนิทคนเดียวที่ไม่เคยรังเกียจว่าเธอจน “ไปพร้อมเราเถอะนิดา วันนี้พ่อไปส่ง” ธรรมดาแล้วเพชรชมพูจะขับรถมอเตอร์ไซน์ไปโรงเรียน วันนี้นิรดาจึงแปลกใจเมื่อเห็นเพื่อนโดยสารรถยนต์คันโก้มา
“คือ...” หญิงสาวตัดสินใจไม่ถูก
ผู้ใหญ่เที่ยงเลยช่วยเรียกอีกคน ลุงผู้ใหญ่เป็นบิดาของเพชรชมพูนั่นเอง เพื่อนของเธอมีครอบครัวอบอุ่น มีพี่ชายที่กำลังศึกษาอยู่ในรั้วโรงเรียนตำรวจที่จังหวัดนครนายก เขาเป็นความภาคภูมิใจของทุกคนในครอบครัวนั้นเลย
“สวัสดีค่ะลุงผู้ใหญ่” หญิงสาวยกมือทำความเคารพบิดาของเพื่อน ก่อนจะมุดขึ้นไปนั่งเบาะด้านหลังเพชรชมพู
“สวัสดีหนูนิดา ยายสร้อยยังแข็งแรงดีไหมล่ะ” คนโตกว่าทักตอบ ก่อนจะขับเคลื่อนรถยนต์ตรงไปข้างหน้า
“ไม่เลยค่ะ ยายสุขภาพค่อยไม่ดีเท่าไหร่ แต่ไม่ยอมบอกนิดา” หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะบ่น เมื่อตนเองมีญาติผู้ใหญ่เพียงคนเดียว หากยายเป็นอะไรไป เธอจะอยู่ยังไง