เมียสารวัตร 3 - ครอบครัว
หนูนาเดินตัวลีบตามหลังแม่ต้อย ๆ ดวงหน้างดงามที่ใครเห็นเป็นต้องตกหลุมเสน่ห์ในยามนี้ดูเจี๋ยมเจี้ยมไร้ความดื้อด้านเหมือนเคย
“แม่จ๋า อย่าตีน้องเลยนะ”
“พ่อช้างไม่ต้องขอร้องแม่แทนน้อง อย่างไรวันนี้หนูนาก็ต้องถูกทำโทษ”
“แต่ว่า...”
“พี่ช้าง ไม่เป็นไร หนูนาผิดก็ต้องถูกตี”
ราชันเบือนหน้าหนี เขานั้นไม่ใจกล้าพอลงไม้ลงมือกับลูก หากทำผิดอย่างมากก็แค่ตักเตือน แต่ใบบัวนั้นไม่ใช่ หากความผิดเล็กน้อยอย่างมากก็ให้อดข้าวหรือไม่ก็กักบริเวณ แต่ครานี้ความผิดของหนูนาใหญ่หลวงเกินไป ใบบัวไม่อาจจะปล่อยให้เลยตามเลยได้
“ปื๊ด ไปหยิบหวายมาให้แม่” หนุ่มน้อยเจ้าของชื่อปื๊ดน้ำตาไหลพราก ๆ ทั้งกลัวแม่ใบบัว ทั้งสงสารพี่หนูนาจับใจ
“ตะ แต่ว่า แม่ใบบัวจ๋า”
“ปื๊ด”
“ไปเถอะ”
หนูนาพยักหน้าเบา ๆ หนุ่มน้อยยกมือขึ้นปาดน้ำตาป้อย ๆ ก่อนจะคลานไปที่ห้องเก็บของ หยิบเอาหวายที่ไม่เคยถูกใช้งานเลยสักครั้งออกมายื่นให้แม่ใบบัวพร้อมน้ำตานองหน้า
“ใบบัว”
“พี่ราชันไม่ต้องเข้าข้างลูก” เสียงหวานเฉียบขาดจนคนเป็นทนายไม่กล้าแย้งขึ้นอีก “หากวันนี้ใบบัวไม่ทำโทษ หนูนาก็จะไม่สำนึก พวกเราตามใจเด็กคนนี้เกินไป เกินไปจริง ๆ”
“แม่จ๋า แต่เรื่องนี้น้องไม่ผิดนะ น้องถูกคนชั่ววางยา”
“หากไม่ซุกซนหนีไปเที่ยวโดยไม่บอกพ่อแม่จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นหรือไม่ พ่อช้างตอบแม่ที”
“หนู...หนู” ช้างอึกอัก เรื่องนี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะแก้ตัวให้น้องได้อย่างไร ในเมื่อที่แม่พูดมามันถูกทุกคำ
แต่ถึงอย่างนั้นหัวใจคนเป็นพี่มันก็ทนไม่ได้อยู่ดีถ้าหากน้องรักจะต้องถูกทำโทษด้วยการเฆี่ยนตี เพราะตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยมีใครถูกแม่ตีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นช้างเอง หนูนา หรือแม้แต่ปื๊ด ถูกพ่อราชันตียิ่งไม่เคย ใบบัวและราชันเลี้ยงลูกด้วยเหตุผลมากกว่ากำลัง ให้ลูก ๆ ได้เรียนรู้กันเองว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก จนบางครั้งก็กลายเป็นการตามใจจนเคยตัว
พ่อกับแม่ไม่เคยต่อว่าแม้ช้างจะเป็นนักเลง ไม่เคยต่อว่าแม้หนูนาจะแก่นแก้วเกินหญิง ไม่เคยรังเกียจที่ปื๊ดอ้อนแอ้นไม่สมชาย ขอเพียงอย่างเดียว อย่าทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนก็เป็นพอ
ครั้งนี้มันเกินไป เกินไปจริง ๆ
มือที่ถือหวายสั่นระริก ใบบัวไม่อยากจะคิดว่าถ้าหากหนูนาเจอคนไม่ดี ถูกรังแกจนย่อยยับเสียผู้เสียคน หากเป็นเช่นนั้นเธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร
“เช่นนั้นแม่ก็ตีหนูด้วยเถิด”
“พ่อช้าง!” ใบบัวเบิกตากว้าง เมื่อลูกชายคนโตทรุดตัวลงข้างน้องสาว เอ่ยร้องขอให้แม่ตีด้วยดวงตาแน่วแน่
หากจะเจ็บก็ต้องเจ็บด้วยกัน ช้างไม่อยากให้น้องต้องเจ็บคนเดียว และเขาหวังเหลือเกินว่าถ้าแม่ตีเขาด้วยแล้ว น้องจะได้รับโทษน้อยลง
หนูนาตัวแค่นี้ ถึงภายนอกจะดูเข้มแข็งทว่าร่างกายก็ยังเป็นหญิง ผิวพรรณอ่อนใสและบอบบางเหมือนแก้ว โดนตีเพียงครั้งเดียวคงแตกจนได้เลือด ช้างทนไม่ได้หรอก เขาทนเห็นน้องเป็นแบบนั้นโดยที่ตนเองได้แต่ยืนมองไม่ได้
“ฮึก แม่ใบบัวตีหนูด้วยนะจ๊ะ”
“ปื๊ด!”
ไม่ใช่แค่ช้าง แต่เด็กหนุ่มรูปร่างอ้อนแอ้นก็ทิ้งตัวลงข้างหนูนา แม้จะร้องไห้จนตัวโยนแต่กลับไม่มีท่าทีจะเปลี่ยนใจ
“พี่ช้าง! ปื๊ด! ไม่เอา อย่าทำแบบนี้ ลุกออกไปให้หมดเลย ไปสิ”
”ไม่! หากแม่จะตีน้องก็ต้องตีพี่ด้วย”
“ปื๊ดเองก็ผิด ปื๊ดไม่ได้ห้ามพี่หนูนาให้ดี ทั้งยังปล่อยให้พี่อยู่ในห้องน้ำคนเดียวอีก หากพี่หนูนาจะถูกตีปื๊ดก็ต้องถูกตีด้วย”
“พี่ช้าง... ปิ๊ด...” จากที่คราแรกไม่มีน้ำตาสักหยด ในตอนนี้คนที่ทำผิดก็เริ่มร้องไห้ออกมา หนูนากอดทั้งพี่และน้องเอาไว้ พากันร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็ก ๆ
ใบบัวมองภาพสามพี่น้องที่กอดกันกลมด้วยความรู้สึกที่พูดไม่ถูก จะว่าดีใจที่พี่น้องรักกันก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะยังโกรธเคืองที่ลูกดื้อด้านจนเกิดเรื่องขึ้น ทั้งยังมีพี่น้องคอยให้ท้ายแบบนี้อีก
“ใบบัว”
“มีอะไรพี่ราชัน” ใบบัวไม่รู้เลยว่าตัวเองเสียงแข็งจนอดีตจอมโจรสะดุ้งโหยง “อยากถูกใบบัวตีด้วยหรือ ถ้าอยากก็นั่งลง ใบบัวจะตีทั้งพ่อทั้งลูกนี่แหละ”
ราชันหน้าเสีย เขารักลูกก็จริง แต่ถ้าต้องถูกเมียตี...
ไม่เอาดีกว่า
“พี่แค่จะเตือนใบบัวว่าอย่าตีลูกแรงเลยนะ เดี๋ยวจะปวดแขนเอาได้”
พ่อช่วยได้เท่านี้แหละลูกเอ้ย...
ใบบัวเลิกสนใจผัว เธอหันกลับมามองลูกทั้งสามที่ยังกอดกันกลม แม้ว่าเด็ก ๆ จะพากันนั่งคุกเข่าร้องไห้ใบบัวก็ไม่ใจอ่อน อยากโดนตีกันนักเธอก็จะจัดให้อย่างเท่าเทียม
“ใครอยากโดนก่อน”
“หนูจ้ะ” พี่คนโตเสียสละทันที ช้างลุกขึ้นยืนทั้ง ๆ ที่น้อง ๆ พากันฉุดแขนให้นั่งลง
“พี่ช้าง ให้หนูนาก่อน หนูนาคือคนผิดนะ”
“ให้แม่ตีพี่ก่อนแม่จะได้มีแรงน้อยลง หนูนากับปื๊ดจะได้ไม่เจ็บมาก”
“โธ่พี่ช้าง”
ร่างสูงเหมือนยักษ์เดินออกมาตรงหน้า หันข้างให้ใบบัว กอดอก หลับตารอรับความเจ็บปวดที่ก้น...
เพี๊ยะ!
“อึก!”
“ต่อไปใคร”
ช้างเดินกลับไปนั่ง ส่วนหนูนาลุกขึ้นมาแทนที่ ใบบัวมองลูกสาวที่แสนดื้อดึง ก่อนจะฟาดหวายลงบนก้นเต็มแรง
เพี๊ยะ!
“ต่อไป”
ปื๊ดลุกขึ้นมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ดูจากพี่ ๆ แล้วแม่ใบบัวคงไม่ออมแรงเลย เพราะขนาดช้างยังนั่งไม่ติดพื้น ส่วนหนูนาน้ำตาซึมออกมาอีกระลอกใหญ่
“หันมาปื๊ด”
“แม่ใบบัวจ๋า”
“มีอะไร”
“หนูรักแม่ใบบัวนะ”
ใบบัวหัวใจอ่อนยวบ จ้องมองหน้าตาหมดจดของเด็กหนุ่ม ปื๊ดน่าตาน่ารัก ผิวขาวน่าถนอม ตัวพอ ๆ กันกับหนูนาแต่นิสัยอ่อนหวานกว่า เธอรู้ว่าลูกคนเล็กที่รับมาเลี้ยงชอบพอผู้ชายหาใช่ผู้หญิง แต่แล้วอย่างไร ในเมื่อไม่ได้ฆ่าใครตายก็ไม่ใช่เรื่องผิด
“แม่ก็รักลูกทุก ๆ คน เพราะรัก ถึงได้สั่งสอน”
เพี๊ยะ!
ช้างรับปื๊ดกลับไปนั่งเพราะเด็กหนุ่มเจ็บจนถึงขั้นทรุดลง เมื่อทำโทษลูก ๆ เสร็จใบบัวก็รีบโยนไม้หวายออกไปไกล ๆ ก่อนจะทรุดตัวนั่งโอบกอดลูก ๆ ทั้งสามแล้วร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจ
ตีลูกตนเอง เจ็บยิ่งกว่าตีตัวเองไม่รู้กี่เท่า คล้ายกับฟาดหวายลงกลางหัวใจ ใบบัวไม่ได้อยากทำเลย ตีลูกไม่ใช่ความสุขของคนเป็นแม่ แต่ถ้าหากไม่ทำลูกก็จะทำให้ตัวเองต้องอยู่ในอันตรายอีก
หวายนี้จะเป็นเครื่องเตือนใจเด็ก ๆ ว่าหากเมื่อไหร่ที่คิดจะทำผิดอีก ให้รู้ไว้ว่าแม่คนนี้จะเจ็บปวดยิ่งกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า
“แม่ขอโทษนะลูก ฮึก”
“แม่ไม่ผิดเลย หนูนาดื้อเอง”
“แม่ตีเพราะแม่รัก หนูรู้”
“หนูไม่เจ็บเลยแม่ใบบัว ไม่เจ็บเลย ฮึก”
ราชันมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้มพร้อมลอบเช็ดน้ำตาที่หางตาเงียบ ๆ เขารู้ดีว่าใบบัวรักลูกมาก ลูกเองก็รักใบบัว และพี่น้องทั้งสามนั้นรักกันเพียงใด ไม่ใครโกรธที่ถูกใบบัวตี และใบบัวเองก็โกรธลูก ๆ ได้ไม่นาน อีกเดี๋ยวก็คงรีบลงไปที่ครัว เตรียมอาหารที่ลูกชอบมาง้อ
สุดท้ายแล้วไม่ว่าอย่างไรครอบครัวก็คือครอบครัว ราชันนึกขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ส่งใบบัวมาให้เขา ส่งลูกทั้งสามมาเพิ่มสีสันให้บ้านหลังนี้ เกือบสามสิบปีก่อนเขาไม่เคยนึกอยากมีครอบครัวเลย ไม่คิดจะรักตัวเองด้วยซ้ำ แต่ในวันนี้เขาอยากจะมีชีวิตที่ยืนยาว เฝ้ามองลูกเมียแบบนี้ไปจนกว่าจะหมดลมหายใจ
.
.
(ศิลาล้อแม่เล่นหรือ แหม ล้อกันแบบนี้แม่ไม่ตลกเลยนะจ๊ะ)
“คุณแม่ครับ ผมไม่ได้ล้อเล่น”
(ยังอีก แม่บอกแล้วว่า...)
“ผมกำลังจะแต่งงาน อาทิตย์หน้า”
(ศิลา) ปลายสายเริ่มเสียงแข็ง ศิลาได้ยินเสียงลมหายใจฟืดฟาด คล้ายกับกำลังระงับความโกรธของแม่บังเกิดเกล้า
คนที่ศิลากำลังพูดสายด้วยคือคุณหญิงแจ่มจันทร์ แม่แท้ ๆ ของสารวัตรศิลา ภรรยาหลวงของพลตำรวจเอกศักดิ์ พ่อแท้ ๆ ของเขา
(แม่ไม่ตลกนะ) คุณหญิงแจ่มจันทร์พยายามบังคับเสียงให้มั่นคง (ลูกเต้าเหล่าใคร ตระกูลไหน พ่อเป็นข้าราชการชั้นไหน แม่เป็นคุณหญิงหรือเปล่า หรือว่า...)
“คุณแม่ครับ หนูนาเป็นลูกของทนายอาสาและหมอสมุนไพรพื้นบ้านที่เก่งที่สุดในอำเภอครับ”
(แค่นี้?)
“แค่นี้ครับ”
(ศิลาต้องล้อแม่เล่นแน่ ๆ) คุณหญิงแจ่มจันทร์ไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องที่ได้ยินจะเป็นเรื่องจริง (ลูกกำลังจะบอกแม่ว่า ลูกไม่ยอมหมั้นกับหนูพราวฟ้า ลูกสาวคนเดียวของท่านรัฐมนตรีพิสุทธิ์ แต่กลับจะแต่งงานกับเด็กที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ชื่ออะไรนะ หนูนาอย่างนั้นหรือ แค่ชื่อก็ไม่น่าฟังแล้ว)
“เธอชื่อจริงว่าคะนึงนิจครับ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ คุณแม่ครับ หนูนาเธอไม่ได้ไร้หัวนอนปลายเท้า เธอมีพ่อมีแม่ คุณพ่อเธอเป็นทนายที่เก่งกาจ คุณแม่ก็เป็นหมอยาที่เชี่ยวชาญสมุนไพรไม่มีใครเทียบได้ แค่นี้มันยังไม่พออีกหรือครับ”
(ไม่พอ ทนายแล้วอย่างไร หมอสมุนไพรแล้วอย่างไร มีอะไรสู้ลูกสาวคนเดียวของรัฐมนตรีได้)
“คุณแม่...”
(ผู้หญิงคนนั้นเกื้อหนุนอะไรลูกได้บ้างศิลา หน้าที่การงาน ฐานะทางสังคม แค่แม่ฟังที่ลูกพูดแม่ก็รู้แล้วว่าเทียบไม่ได้เลยกับหนูพราวฟ้า หนูพราวฟ้าทำให้ลูกเป็นพลตำรวจเอกเหมือนพ่อได้ ความฝันลูกไม่ใช่หรือ ศิลาคิดดี ๆ นะลูก)
“ไม่ครับ ผมไม่อยากเป็นเหมือนคุณพ่อแล้ว ผมอยากไต่เต้าด้วยความสามารถของตัวเอง ไม่ใช่ยอมรับลูกสาวลับ ๆ ของรัฐมนตรีมาเป็นบ้านน้อยเพื่อตำแหน่งใหญ่โตแต่ทำให้คุณแม่ต้องเสียใจ”
(ศิลา!!)
“ที่ผมโทรมาบอกก็เพราะไม่ต้องการทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาคุณแม่ ถ้าคุณแม่อยากมางานอาทิตย์หน้าผมก็ยินดีครับ แต่ถ้าไม่มาก็ไม่เป็นไร ไว้ผมจะพาภรรยาไปแนะนำตัวกับคุณแม่เอง”
(ไม่ต้องพามา ที่นี่ไม่ต้อนรับสะใภ้ที่แม่ไม่ยอมรับ)
“คุณแม่...”
(แล้วลูกจะต้องเสียใจที่ตัดสินใจแบบนี้)
ปลายสายวางไปแล้ว สารวัตรหนุ่มถอนหายใจก่อนจะวางหูโทรศัพท์ลงบ้าง ไม่ผิดจากที่คิดไว้เลยสักนิด แม่ไม่ยอมรับภรรยาของเขา อ้างแต่เรื่องเดิม ๆ ที่ศิลาไม่อยากฟัง
ตั้งแต่เล็กจนโตศิลาฝันว่าอยากเป็นตำรวจมาตลอด เพราะเขาเกิดมาในครอบครัวที่เป็นตำรวจ ปู่ พ่อ ลุง ทุกคนล้วนเป็นตำรวจทั้งนั้น เขามีความฝันว่าอยากรับใช้ประชาชน ช่วยเหลือทุกคนอย่างเท่าเทียม ทั้งชีวิตเอาแต่อยากเป็นตำรวจจนไม่เคยสนใจอาชีพอื่น เขามุ่งมั่นจนสอบติด ทำผลงานต่าง ๆ มากมายจนเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นสารวัตรได้ด้วยตัวเอง
เมื่อก่อนความฝันสูงสุดของศิลาคือได้เป็นพลตำรวจเอกเหมือนพ่อ แต่นั่นมันก็เป็นแค่อดีต หลังจากรู้ว่าตำแหน่งที่พ่อได้มานั้นต้องแลกกับอะไรเขาก็ไม่คิดสนใจอีก
ในช่วงเวลาเดียวกันแม่ก็เริ่มพาหญิงสาวคนหนึ่งมาให้ศิลารู้จัก คอยย้ำเตือนว่าผู้หญิงคนนี้จะช่วยทำให้เป้าหมายของเขาเป็นจริงได้ นั่นทำให้ศิลารู้สึกสะอิดสะเอียนเหลือเกิน เขารีบทำเรื่องขอย้ายตัวเองจากเมืองหลวงมาที่นี่โดยไม่บอกใครจนกระทั่งได้รับอนุมัติ เมื่อมีคำสั่งลงมาแม่ก็ไม่สามารถขัดขวางเขาได้อีกต่อไป อำเภอเล็ก ๆ ที่ไม่ได้เจริญมากเป็นสถานที่ที่ศิลาเลือก
ใครจะไปคิดว่าที่นี่จะกลายเป็นที่ที่เขาได้มีภรรยาเป็นตัวเป็นตนโดยไม่ได้ตั้งใจ.,.