บทที่ 2 ยัยตัวแสบ 3
“บัดซบ !” ภัตติพงษ์สบถ วิ่งบุกเข้าไปในนาข้าว หมายจะช่วยหญิงสาว แต่ช้าไปเสียแล้วเมื่อร่างบางหล่นจากหลังม้าต่อหน้าต่อตาเขา
“ว้าย ! กรี๊ด” เสียงแหลมหวีดลั่น ส่วนม้าขยับถอยหนี ก่อนจะเลิกพยศเมื่อชายหนุ่มจับหน้าของมัน แล้วปลอบว่า
“หยุด…หยุดเสียสาวสวย”
เท่านั้นแหละ…มันก็ยอมยืนนิ่งๆแต่โดยดี จากนั้นภัตติพงษ์ก็หันมาเท้าสะเอวมองคนตัวเล็กที่ตอนนี้นอนหงายอยู่บนโคลนสีน้ำตาลเข้ม ผมสีชมพูเปื้อนคราบโคลนเป็นหย่อมๆ แก้มนวลเต็มไปด้วยน้ำตา เสื้อผ้าเลอะเทอะจนหาสภาพเดิมไม่เจอ
“เป็นไงบ้างยัยตัวเล็ก” เขาถามกลั้วหัวเราะ
“คุณอาหัวเราะทำไมคะ”
“หัวเราะความเปิ่นของเราน่ะสิ ดีนะที่พื้นเป็นโคลนมีน้ำขัง ไม่งั้นเธอจะเจ็บหนัก นึกยังไงถึงขึ้นเจ้าสโนไวท์ล่ะ ก้อยไม่ได้บอกเหรอไงว่ามันยอมอาแค่คนเดียวน่ะ”
“ก็…ก็เห็นสีขาวมันสวยดีนี่คะ ไม่นึกว่าจะเป็นแบบนี้” หล่อนตอบพร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ โอย…ตายแล้ว ทำไมความเป็นจริงช่างแตกต่างจากในฝันที่หล่อนคาดหวังไว้ซะเหลือเกิน
ในฝัน…คิดว่าตัวเองคงเหมือนเจ้าหญิงผู้งามสง่าบนหลังม้า
ทว่าในความจริง…หล่อนกลับกลายเป็นสาวน้อยตกโคลน แสดงความเปิ่นต่อหน้าผู้ชายที่หล่อนปลื้ม !
“เอ้า…ลุกได้แล้ว จะนั่งจมโคลนแบบนั้นอีกนานแค่ไหน” ชายหนุ่มยื่นมือไปให้ ซึ่งหล่อนก็คว้าหมับที่มือใหญ่แล้วลุกขึ้น…และในช่วงนั้นเองที่หล่อนเกิดเสียหลัก เกือบเซล้มอีกครั้ง
“ว้าย !”
เคราะห์ดีที่ชายหนุ่มรั้งร่างหล่อนไว้ได้ทัน…ตาต่อตาประสานกัน ใบหน้าใกล้กันจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆของอีกคน
เมลินียิ้ม…ใจเต้นตึกตัก ขณะที่เขาหันหน้าหนีไปทางอื่นแล้วปล่อยมือจากแขนหล่อน ทำให้ร่างบางหงายหลังล้มใส่โคลนตมอีกครั้ง
แผละ !
“ว้าย คุณอา ! แกล้งเมเหรอคะ”
“ไม่ได้แกล้ง แต่อาเพิ่งคิดได้ว่าไม่ควรช่วยเหลือเด็กดื้ออย่างเธอ” เขาทำเสียงเข้ม เอามือไพล่หลัง แล้วเทศนาต่อ
“ต้นข้าวโดนม้าย่ำจนเละ แล้วไหนจะตัวเธออีกที่ทำให้ข้าวของอาเสียหายไปเยอะ มีอะไรจะพูดไหม”
“มีค่ะ” หล่อนพูดเสียงเฉียบ ลุกยืนประจันหน้ากับเขา
“มีอะไร” เขาปรายตามองหล่อน
“เมมาพักผ่อนสมองที่นี่เพราะคิดถึงคุณอา และก็อยากหาข้อมูลเขียนนิยายด้วย แต่เมไม่คิดเลยว่าการกระทำของเมจะสร้างความเดือดร้อนให้คุณอา เมขอสัญญาว่าต่อไปนี้เมจะไม่ขี่ม้าเข้านาข้าวอีกแล้ว”
“ไม่ใช่แค่นั้นนะเม” ดวงตาคู่คมจริงจังจนหญิงสาวนึกหวั่น “ต่อไปนี้…ห้ามเธอขี่ม้าเด็ดขาด”
“คุณอา !” หล่อนแผดเสียงลั่น
“สิ่งมีชีวิตที่มีบุคลิกเหมือนกัน มักจะอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก ดังนั้นเธอห้ามขี่ม้าอีก”
“คุณอาหมายความว่า ?” คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูง อ้าปากค้าง…
“หมายความว่าเธอเหมือนม้าดีดกะโหลกไง”
เท่านั้นแหละ หล่อนก็กระทืบเท้าเร่าทันที “คุณอา ! ทำไมว่าเมแบบนี้”
“เธอก็เลิกโวยวายแล้ว จะย่ำโคลนให้เลอะกว่าเดิมไปทำไม หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
“คุณอาจอมเผด็จการที่สุด”
“เธอก็ดื้อรั้นที่สุด ไปๆ ไปล้างเนื้อล้างตัวออกซะ”
“ก็ได้ค่ะ เมจะกลับแล้ว” หล่อนทำแง่งอน จะหันหลังเดินกลับ แต่ถูกมือใหญ่ฉวยไว้ได้ทัน
“เดี๋ยว…ถ้ากลับทั้งที่มีสภาพแบบนี้ เธอคงเป็นตัวตลกในสายตาคนงาน”
“แล้วจะให้เมทำยังไงล่ะคะ”
ภัตติพงษ์กระตุกยิ้มตรงมุมปาก เดินจูงม้าไปมัดผูกติดใต้ต้นไม้ใหญ่ แล้วเดินกลับมาจับร่างบางขึ้นพาดบนบ่าราวกับหล่อนเป็นเพียงกระสอบนุ่นที่ไร้น้ำหนัก
“คุณอา จะพาเมไปไหน”
“พาไปล้างเนื้อล้างตัวไง” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ เดินเทิ่งๆท่ามกลางแสงแดดที่แผดจ้า ผ่านสวนดอกดาวเรืองที่บัดนี้กำลังบานสะพรั่งอวดสีเหลืองสด
แม้ว่าหล่อนจะหัวห้อยโทงเทงเพราะโดนเขาจับตัวขึ้นพาดบ่า แต่ก็ไม่วายกวาดตามองแล้วพูดด้วยเสียงตื่นเต้น
“ว้าว ! ทำสวนดาวเรืองด้วยเหรอคะ กี่ไร่กัน”
“ทำแค่ 5 ไร่ ปลูกดอกดาวเรืองขายได้ราคาดีเหมือนกัน”
“สวยจัง น่าไปยืนกลางไร่แล้วถ่ายรูป”
“อย่าเลย…ขืนเธอไปยืนกลางไร่ มองไกลๆอาคงนึกว่ามีตัวคิตตี้ผุดขึ้นมาท่ามกลางดอกดาวเรือง”
“คุณอาหมายความว่าไงคะ ?” คิ้วเรียวขมวดฉับ ด้วยไม่เข้าใจว่าที่เขาพูดมานั้นหมายความว่าอย่างไร
“สีผมของเธอไง มองไกลๆเหมือนไม่ใช่คน”
“เอ๊ะ ! นี่สีแฟชั่นนะคะ คุณอานี่เต่าล้านปีจริงๆ” หล่อนว่าให้เช่นนั้น และนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มหลุดหัวเราะออกมา
“อายอมรับว่าหัวโบราณ แต่เธอเป็นผู้หญิงก็ควรวางกิริยามารยาทให้เหมาะสม โดยเฉพาะเรื่องการแต่งกาย” ภัตติพงษ์ร่ายยาว เขาเดินตัดผ่านไร่ดาวเรืองไปทางซ้ายมือ ที่นั่นมีสระน้ำขนาดใหญ่ซึ่งมีดอกบัวหลวงมากมาย บ้างก็บานสะพรั่ง และก็มีบางส่วนที่ยังตูม รอวันที่จะเบ่งบานสะสวย
“ให้ล้างตัวที่นี่เหรอคะ ไม่เอานะ น้ำคงไม่สะอาด” หล่อนโวยวาย แต่เขาก็ยังดึงดันความคิดเดิม
“เอาน่า ก็ยังดีกว่าให้เธอกลับไปทั้งๆที่ยังตัวเลอะนั่นแหละ เอ้า…ลงไปซะ” ชายหนุ่มจับหล่อนโยนลงสระ
ตูม !
“ว้าย !” เมลินีหวีดร้องลั่นเพราะไม่ทันตั้งตัว “คุณอาเล่นอะไรบ้าๆคะ”
“ที่กล้าเล่นเพราะรู้ว่าเธอว่ายน้ำเป็นน่ะสิ ล้างเนื้อตัวให้เอี่ยมเข้า จะได้ขึ้นสระ” เขาออกคำสั่ง พลางยกมือขึ้นกอดอกไว้…แต่จะว่าไป บริเวณแขนกับอกเสื้อของเขาก็เลอะโคลนเป็นหย่อมๆเหมือนกันเพราะแบกหล่อนมา
“เร็วๆสิ” เขาเร่งเสียงดัง และนั่นก็ทำให้หญิงสาวหน้างอหงิก…ความคิดเจ้าเล่ห์บางอย่างได้ผุดขึ้นในสมอง
หล่อนนึกออกแล้วว่าจะพิสูจน์ยังไงเพื่อให้ได้รู้ความจริงว่าเขาเป็นเกย์หรือเปล่า !