บทที่ 2 ยัยตัวแสบ 2
‘ไร่ภูผาคอยจันทร์’ มีอาณาเขตกว้างขวางนับพันไร่ ตอนแรกมีพื้นที่เพียงร้อยกว่าไร่เท่านั้นที่บิดาและแม่เลี้ยงให้เงินภัตติพงษ์มาซื้อ
แต่เขาได้เอาเงินส่วนตัวมาซื้อเพิ่ม และขยับขยายเขตที่ดินไปเรื่อย จนบัดนี้…ที่ดินของเขากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ปากทางเข้าโรยด้วยยางมะตอยสีดำสนิท มีป้ายไม้อันใหญ่ติดไว้สูงเด่นว่า ‘ไร่ภูผาคอยจันทร์’
บ้านปูนสองชั้นหลังใหญ่ตั้งอยู่ตรงปากทางเข้าออก เยื้องๆไปทางฝั่งซ้ายมือ ด้านหลังตัวบ้านคือที่ดินกว้างไกลที่แบ่งแยกเป็นสัดส่วน ปลูกผลไม้หลากหลายชนิด มองเป็นทิวแถว จนมองไม่เห็นว่าไร่แห่งนี้จะไปสิ้นสุดลงตรงไหน
ทันทีที่เมลินีเดินพ้นจากตัวบ้าน หล่อนก็หันซ้ายหันขวา เดินลัดเลาะไปทางด้านหลัง แล้วต้องผิวปากหวือ…
ตอนที่อรจิราให้คนขับรถมาส่งหล่อนที่นี่ หล่อนไม่รู้เลยว่าไร่ของภัตติพงษ์จะน่าตื่นตาตื่นใจถึงเพียงนี้…กลิ่นอากาศสะอาดสดชื่น คล้ายมีกลิ่นอ่อนๆของรวงข้าวโชยมาแตะจมูก
มีโรงจอดรถขนาดใหญ่ พร้อมสรรพด้วยรถไถ รถกระบะหลายคัน รถจักรยานยนต์ รถเก๋ง หรือกระทั่งรถจักรยานก็ยังมี หล่อนแวะไปด้อมๆมองๆ อยากขับรถยนต์ แต่ติดตรงที่ไม่มีกุญแจเลยต้องตัดใจ ใช้ขาตัวเองเดิน…และก็เดิน
ระยะทางไกลกว่า 100 เมตร ในที่สุดหล่อนก็เห็นไร่กะหล่ำปลีขนาดใหญ่ มีคนงานเดินไปเดินมา และสายตาทุกคู่ก็เบนมามองหล่อนอย่างพร้อมเพรียง
หล่อนเองก็ไม่คิดจะอายเลยแม้แต่น้อยเพราะพกพาความมั่นใจมาเต็มเปี่ยม เลยฉีกยิ้มหวาน ตามด้วยโบกมือว่อนประดุจนางงาม มีหลายคนโบกมือตอบหล่อน บางคนก็หัวเราะ…ซึ่งหล่อนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาหัวเราะอะไรกัน
“คุณอาบาสอยู่ไหนคะ” หล่อนป้องปากร้องถาม
“อยู่ตรงนาข้าวหอมมะลิครับ ไปทางซ้ายมือเรื่อยๆสักร้อยเมตรก็จะเจอ” หนึ่งในนั้นตอบหล่อน ตามด้วยคำถามใหม่ “เป็นหลานสาวคุณบาสเหรอครับ”
“ค่ะ เพิ่งมาจากกรุงเทพวันนี้ อยากจะเที่ยวชมไร่สักหน่อย จะเอารถออกก็ไม่มีกุญแจ ไม่ได้ขอคุณอาไว้”
“ถ้างั้นขี่ม้าเป็นไหมครับ ถ้าขี่เป็นล่ะก็…ในคอกมีอยู่สามตัว ตัวสีดำเชื่องสุดล่ะครับ”
“ก็ดีค่ะ ขี่ม้าไปดีกว่า เดินมากๆชักจะปวดเท้า” หล่อนตอบไปเช่นนั้น แล้วมองตามมือคนงานที่ชี้บอกทางให้ พอเห็นคอกม้าอยู่ไกลลิบๆ หล่อนจึงเดินเข้าไปใกล้ทันที
ผนังคอกเป็นปูนทึบสูง พื้นเป็นปูนแต่มีแผ่นยางปูรอง รวมทั้งมีฟางและแกนปอสับปูรองนอนให้ม้าด้วย ม้าสายพันธ์ลิปิซานเนอร์ยืนเด่นสง่าในคอกที่กั้นไว้เป็นสัดส่วน คนดูแลม้าที่กำลังง่วนอยู่กับการทำความสะอาดคอกได้หันมาถาม
“มาดูม้าเหรอคะ คุณ…เอ้อ”
“เมค่ะ เป็นหลานนอกสายเลือดของคุณอาบาส อยากได้ม้าสักตัว สะดวกไหมคะ”
“ได้ค่ะ ตัวสีดำนะคะ เชื่องที่สุด” คนดูแลม้าที่ชื่อ‘ก้อย’แนะนำ ขณะที่เมลินีพินิจดูม้าทั้งสามตัวอย่างละเอียด
ตัวแรกมีสีขาว แต่ที่ใบหน้าและบั้นท้ายเป็นสีน้ำตาล ตัวที่สองมีสีดำสนิท ท่าทางเงื่องหงอยเหมือนม้าเอ๋อๆ ส่วนตัวสุดท้าย มีสีขาวปลอดทั้งตัว
“ตัวสีขาวดีกว่าค่ะ” หล่อนตัดสินใจทันที…ก็แหงล่ะ ตอนวาดฝันในจินตนาการ ม้าสีขาวงามสง่าน่าจะเหมาะสมกับหล่อนที่สุด
“แต่ว่ามัน…” ก้อยตั้งท่าจะค้าน ทว่าหญิงสาวกลับเน้นเสียงหนัก
“เมจะเอาตัวสีขาวค่ะ ม้างามๆแบบนี้คงไม่พยศหรอก”
“แต่…”
“ขอตัวสีขาวให้เมด้วยค่ะ มันชื่ออะไรคะ”
“ชื่อสโนไวท์ค่ะ” ตอบพลางจูงม้าตัวที่เมลินีต้องการออกมาจากคอก
“ว้าว…ชื่อสวยสมตัวเลยจริงๆ ว่าแต่ตรงไหนคะที่ปลูกข้าวหอมมะลิ”
“ไปทางโน้นเลยค่ะ ไปเรื่อยๆก็จะเจอเอง ข้าวกำลังออกรวงสวยเชียว”
“อ๋อ ค่ะ…ขอบคุณนะคะ” หล่อนยิ้ม แล้วโหนตัวขึ้นนั่งบนหลังม้า “ไปสิสโนไวท์ วิ่งโลด”
และมันก็วิ่งให้สมใจหล่อนจริงๆ ขาทั้งสี่ข้างขยับแล้วออกตัวพุ่งไปด้านหน้าด้วยความเร็วสูง
ฮี้ๆๆ
“เดี๋ยวๆ เบาๆหน่อยก็ได้” หล่อนตกใจจนแทบช็อก ร่างเล็กกระเด้งกระดอนอยู่บนหลังม้า ตากลมเบิกกว้างด้วยความตระหนกสุดขีดที่ไม่อาจห้ามมันได้
“ว้าย ! เบาๆหน่อย” หญิงสาวตะโกนจนเสียงแหบแห้ง แต่มันก็ไม่หยุดวิ่ง จนกระทั่งย่ำเข้าไปในนาข้าวที่กำลังออกรวงสีทองเป็นทิวแถว พื้นดินมีน้ำอยู่เล็กน้อย…ซ้ำยังมีโคลนทั่วบริเวณ
ร่างของหล่อนเกือบจะหล่นอยู่แล้ว เพราะมือชาจนจับบังเหียนไว้ไม่ค่อยอยู่
“ว้าย ! กรี๊ด ! ช่วยด้วย” เมลินีแหกปากลั่น ผสานกับเสียงร้องของม้าสายพันธ์ดี
ฮี้ๆๆๆ
เพราะจู่ๆก็มีหญิงสาวในชุดสายเดี่ยวกับกางเกงสั้นแค่คืบ ผมสีชมพูเด่นชัดนั่งบนหลังม้าวิ่งโทงๆเข้ามาในนาข้าว ทำเอาภัตติพงษ์ที่กำลังยกขวดน้ำขึ้นดื่มเพื่อพักเหนื่อยอยู่บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ ถึงกับสำลักน้ำจนแสบจมูกเลยทีเดียว
พรวด !
“แค่กๆ”
ชายหนุ่มไอติดกันหลายครั้ง เขม้นตามองให้ชัดว่าตนไม่ได้ตาฝาดไป…ใช่จริงๆด้วย เมลินีควบม้าย่ำนาข้าวของเขา
“เฮ้ย ! หยุดเดี๋ยวนี้นะ เธอจะทำให้อาเจ๊งเหรอไง”
“เม…เมหยุดไม่ได้ค่ะคุณอา” หล่อนร้องบอก มึนศีรษะจนแทบจะอาเจียนเพราะกระแทกอยู่บนหลังม้าเป็นเวลานาน