5
หลังจากนั้นจันทร์ฉายล้มตัวลงนอนข้างมารดา ที่ใช้ลำแขนโอบกอดบุตรสาวไว้ ร้องเพลงกล่อมเบาๆ ไม่นานนักจันทร์ฉายก็ดึงตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทรา
“แม่รักลูกจันทร์นะลูก แม่จะเลี้ยงหนูให้ดีที่สุด”
ว่าจันทร์นอนมองคนกำลังหลับ มือคนเป็นแม่วางลงบนแก้ม ลูบเบาๆ ใบหน้าระบายยิ้ม ต่อให้หล่อนลำบากแค่ไหน หาเงินตัวเป็นเกลียว อดมื้อกินมื้อ แต่จันทร์ฉายต้องกินอิ่ม ได้รับการศึกษาตามกำลังที่หล่อนสู้ไหว หอมแก้มหนูน้อยอีกครั้ง
จันทร์ฉายหลับแล้ว หน้าที่ต่อไปของว่าจันทร์คือ แปลเอกสารที่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีงาน เดือนหนึ่งจะมีสักสองครั้ง ต่างกับช่วงก่อนสามีประสบอุบัติเหตุ ที่มีงานทุกอาทิตย์ ทำแทบไม่ทัน
ว่าจันทร์เอี้ยวตัวไปปิดไฟหัวเตียง ลุกเดินออกจากห้อง หยิบโน้ตบุ๊กที่ใช้มานานหลายปี ลงไปทำงานข้างล่าง เพื่อไม่ให้แสงจากโน้ตบุ๊กทำให้ลูกสาวตื่น หญิงสาวทำงานร่วมสี่ชั่วโมง กว่าจะขึ้นมานอนเพราะพรุ่งนี้ หล่อนต้องตื่นเช้า ทำอาหารใส่บาตร และเตรียมตัวไปสมัครงาน
10.00 น.
“พรุ่งนี้เริ่มงานวันแรกนะคะ เงินเดือนที่คุณได้รับคือ สองหมื่นแปดพันห้าร้อยบาทค่ะ” ว่าจันทร์ดีใจและงงในเวลาเดียวกัน ที่ตนได้ง่ายดายมาก ไม่มีสอบข้อเขียน หรือทดสอบเรื่องภาษา ตามคุณสมบัติที่ทางบริษัทต้องการ แค่กรอกใบสมัคร และสัมภาษณ์จากผู้จัดการฝ่ายบุคคลสองสามนาทีเท่านั้น หล่อนก็ได้งานนี้แล้ว
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” แต่ไม่ว่าเหตุผลใดที่ตนได้งาน ว่าจันทร์ดีใจมาก เพราะมันหมายถึง จะมีรายได้ประจำที่มากกว่าที่เดิมเกือบเท่าตัว แม้ว่าสถานที่ทำงานอยู่ห่างจากบ้านสี่กิโลเมตร แต่ก็ยังถือว่าคุ้ม
หลังจากได้งาน ว่าจันทร์โทรศัพท์บอกข่าวดีให้ตฤณรู้ คนต่อมาคือ รุจิเรศ จากนั้นจึงเดินทางกลับบ้าน คล้อยหลังว่าจันทร์ออกจากห้องทำงาน สมสมรโทรศัพท์รายงานให้เจ้านายรู้
“เรียบร้อยค่ะคุณตะวัน”
“ขอบคุณครับ” ตะวันฉายวางหูโทรศัพท์ลงบนแป้น ใบหน้าระบายยิ้มร้ายกาจ นัยน์ตามองภาพถ่ายว่าจันทร์ ที่เขายังเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์นานกว่าห้าปี หรือนับแต่รู้จักหล่อน มันอยู่อย่างไร ก็อยู่อย่างนั้น เช่นเดียวกับความแค้น ไม่เคยหลุดไปจากใจตะวันฉายเช่นกัน “แล้วเจอกันนะ...ว่าจันทร์”
ใช่...แล้วเจอกัน
ช่วงเย็น
ปกติตะวันฉายไม่ค่อยกลับบ้าน เขาใช้ชีวิตอยู่คอนโดย่านสุขุมวิทมานานหลายปี เหตุผลการมาบ้านครั้งนี้ เพราะเจนภพโทรศัพท์เรียกตนมาทานมื้อเย็นด้วย คราแรกจะไม่มา เพราะรู้ดีว่า เจนภพมีจุดประสงค์ใด หาใช่ที่บอกว่า ทางบ้านคิดถึง ซึ่งก็จริงตามคาด
“สวัสดีครับ” ตะวันฉายยกมือไหว้ทุกคนในห้องรับแขก ก่อนทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเล็ก
“พ่อนัดพินกับหนูนีน่ามากินข้าวที่บ้านน่ะ เลยชวนแกมากินด้วยกัน จะได้ทำความรู้จักกันไว้” เจนภพบอกลูกชาย
“ถ้ารู้จักในฐานะ...”
“ตะวันมาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำก่อนดีไหมลูก แล้วค่อยลงมากินข้าว” เหมือนกรอุมาจะรู้ว่า ลูกชายหมายเอ่ยคำใด นางไม่ต้องการให้สามีอารมณ์เสีย หรือให้ลูกชายหักหน้าคนเป็นพ่อต่อหน้าบุคคลอื่น จึงพูดขัดขึ้น
“นั่นสิ ไปลูกไป ไปอาบน้ำก่อนนะ” โฉมยุพินพูดอีกคน
“ครับคุณย่า คุณแม่” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปยังห้องตนเองที่อยู่ชั้นบน เมื่อเข้าไปในห้อง ตะวันฉายไม่ได้อาบน้ำ เขานั่งเล่นมือถือบนเตียง นั่งราวสิบนาที เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เขาจึงเดินไปเปิด ตะวันฉายถอนหายใจเมื่อเห็น บิดายืนหน้าห้อง โดยมีมารดาและย่าอยู่ด้านหลัง
“แกคิดจะหักหน้าฉันใช่ไหม” เจนภพเปิดฉากต่อว่าลูกชาย
“ใช่ครับ แต่ยังไม่ทันได้ทำ คุณแม่ขัดขึ้นซะก่อน” คนเป็นลูกตามตรงมาก
“ฉันหาผู้หญิงดีๆ คู่ควรให้แก ทำไมแกถึงไม่สนใจ อย่าบอกนะว่ายังลืมแม่นั่นไม่ได้ ทั้งที่มันหนีไปมีผัว แกก็ยังไม่ลืมมันอีกหรือไง” เรื่องนี้ทำให้คนเป็นพ่ออารมณ์เดือดดาลทุกครั้งที่นึกถึง ไม่รู้ทำอย่างไรให้ลูกชายลืมรักครั้งนั้นเสียที ทั้งที่มันผ่านมานานสี่ปีแล้ว ทว่าตะวันฉายไม่เปิดใจรับใคร
“ผมรักของผม ไม่มีใครมาแทนที่ฝ้ายได้ ต่อให้เธอมีผัวเป็นสิบเป็นร้อยคน ผมก็รักฝ้าย รักคนเดียว” คนเป็นลูกตั้งมั่นในความรักมาก เจนภพถึงกับหัวเสียหนักมาก ยั้งอารมณ์ไม่อยู่ ตบหน้าลูกชายไปหนึ่งครั้ง ต่อหน้าโฉมยุพินกับกรอุมา ที่ทำหน้าตกใจ ส่วนคนถูกทำร้าย ใบหน้าสะบัดไปตามแรงตบ หันมองบิดาช้าๆ
“แกอย่าหวังว่าจะได้สุขสมหวังกับมัน ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันจะทำทุกทางขัดขวางแก แกต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ฉันคิดว่า คิดว่าคู่ควรเท่านั้น”
“ไม่ครับ ผมไม่แต่งงานกับใครทั้งนั้น ผมจะแต่งงานกับฝ้ายคนเดียว ผมรักฝ้าย ผมรักฝ้าย” เหมือนตะวันฉายท้าทายบิดา เขาตะเบ็งเสียงสู้ สีหน้าจริงจัง แน่วแน่ สองพ่อลูกมองตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
“พอแล้ว พอทั้งคู่เลย” โฉมยุพินห้ามทัพ “ตาภพ แกลงไปข้างล่างก่อนไป”
“ดูหลานคนโปรดของคุณแม่สิครับ ไม่อยู่บ้านไม่พอ ยังปีกกล้าขาแข็ง พูดแบบนี้กับผม ทำอย่างกับว่า ผมไม่ใช่พ่อ” เจนภพเดือดมาก “แต่ถึงยังไง มันก็ต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ผมคิดว่าคู่ควรกับมัน”