ตอนที่1 คนที่อยู่เบื้องหลัง
คนเราเกิดมาจะเจอกับปัญหาได้สักกี่ครั้งหรือกี่เรื่องกันนะ แล้วพระเจ้าจะรู้ไหมว่าบางปัญหาก็ยากจะรับมือ
“ถ้าเธอทำสำเร็จ ฉันจะยกหนี้ทั้งหมดของครอบครัวให้” คำพูดราบเรียบของคุณผู้หญิงผู้สง่างามดังขึ้น
คนที่ปกติไม่เคยต้องลดตัวมาเจรจากับลูกหนี้ด้วยตัวเองแบบนี้ และเป็นจำนวนหนี้ที่เล็กน้อยมากสำหรับเธอ แต่กรณีนี้เธอถือว่าเป็นกรณีพิเศษที่ต้องคว้าเป็นโอกาส
“ได้ค่ะ หนูจะพยายามทำอย่างเต็มที่” หญิงสาววัยยี่สิบหกปีตอบรับหน้าที่นั้นออกไปอย่างไตร่ตรองดีแล้วด้วยระยะเวลาไม่นาน
“ไม่ใช่พยายามอย่างเต็มที่ แต่เธอต้องทำให้สำเร็จ” คุณผู้หญิงแก้คำพูดของหญิงสาวใหม่
“ค่ะ หนูจะทำให้ได้”
และเพราะคำตอบรับอย่างหนักแน่นในวันนั้นทำให้ตอนนี้ วา หรือ เอวา ได้หยุดรถยนต์ญี่ปุ่นคันสีดำของตัวเองอยู่หน้าไร่แห่งหนึ่งทางตอนเหนือของไทย เป็นไร่ผสมผสานและแบ่งออกเป็นสัดส่วนชัดเจน ทั้งไร่ผัก ไร่ผลไม้ และไร่ยาง
เธอได้ข้อมูลต่างๆ มาคร่าวๆ ได้ฟังนิสัยของเจ้าของไร่มาเล็กน้อยที่แทบไม่รู้อะไรเท่าไหร่ อย่างเดียวที่แม่ของเขาบอกเธอไว้
“พยายามเข้าล่ะ เพราะงานนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด”
“ฟู่ว!” เอวาพ่นลมหายใจออกมาเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกแย่ๆ ของตัวเอง เหยียบคันเร่งนำรถขับเข้าไปภายในเขตของไร่ได้อย่างง่ายดาย
เธอขับเข้ามาเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยทั้งที่เป็นตอนกลางวัน แต่ด้วยจำนวนต้นไม้ที่เต็มสองข้างทางโอบล้อมตลอดทาง ทำให้แสงแดดสาดส่องเข้ามารำไร ด้านหนึ่งก็ดูร่มรื่น แต่อีกด้านก็ดูวังเวงมากในตอนไม่มีคน
แต่หลังจากขับตามทางที่เป็นเส้นทางหลักมาเรื่อยๆ ความน่ากลัวก็ได้หายไปเป็นปลิดทิ้งเมื่อเจอกับความสวยงามตรงหน้า
ด้วยเป็นพื้นที่บนเขาทำให้มีพื้นที่สูงต่ำแตกต่างกัน ตอนนี้ทำให้เธอได้เห็นป้ายไร่ต้อนรับในที่สูงเบื้องหน้าเป็นการต้อนรับผู้มาเยือน โดยรอบด้านมีสีสันสดใสของดอกไม้ที่มองไม่เห็นว่าเป็นดอกอะไร
ไร่นภาลัย
เอวาเชยชมทิวทัศน์เบื้องหน้าอีกเล็กน้อยก่อนจะขับรถต่อไปยังจุดหมายปลายทางที่เธอพึ่งเคยมาครั้งแรก แต่ก็รู้ว่าต้องเลี้ยวไปทางไหนยังไงถึงจะไปถึง
และสักพักเธอก็มาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังงามขนาดสองชั้น เป็นบ้านกึ่งไม้กึ่งปูนที่ดูร่วมสมัยและสวยงามเมื่ออยู่ท่ามกลางหุบเขาเขียวขจี
เธอพาตัวเองลงจากรถก่อนจะมองบ้านหลังตรงหน้าแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ น่าแปลกที่ตั้งแต่ขับรถมาก็ยังไม่เห็นมีใครสักคนทั้งที่ไร่ออกจะใหญ่โตแบบนี้ เป็นไปได้ยังไงที่ไม่มีคนงานให้เธอเจอหรือถามไถ่อะไรเลย
เอวาพาตัวเองเดินเข้าไปใกล้ตัวบ้าน ขึ้นบันไดสามขั้นไปหยุดที่หน้าประตูชานบ้าน ประตูถูกปิดไว้โดยที่เธอไม่กล้าพอจะเปิดออกในทันที จึงลองเคาะลงไปเพื่อหวังว่าใครสักคนจะได้ยิน
“มีใครอยู่ไหมคะ!” เธอเพิ่มระดับเสียงเพื่อให้ดังเข้าไปถึงด้านใน
แต่ก็ไร้การตอบรับกลับมา เธอลองเคาะและถามขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ยังคงเหมือนเดิมที่ไม่มีการตอบรับใดๆ เลย
เอวาตัดสินใจเดินออกมาแล้วสำรวจดูรอบบ้านเผื่อจะเจอใครบ้างสักคน แต่เธอเดินแล้วเดินเล่า สรุปก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของสิ่งมีชีวิตสักชีวิต
เธอเดินกลับมาที่รถหันซ้ายหันขวาอย่างลังเลว่าจะทำยังไงต่อเพราะนี่ก็เริ่มเย็นมากแล้ว เธอไม่รู้ว่าคนอื่นๆ จะกลับมาตอนไหน ไม่รู้ว่าจะพาตัวเองนอนยังไง
สุดท้ายก็ต้องหยิบโทรศัพท์เพื่อหวังพึ่งพาคนที่อยู่เบื้องหลังของเธอ
เพียงแต่ว่า...
“อื้อ!!!”