๒.๓ ทวงคำสาบาน
คืนนี้เป็นคืนเดือนแรมที่พระจันทร์มืดดับ แต่ท้องฟ้าก็ยังไม่ไร้ซึ่งแสงดาว ธรรมชาติยังทำหน้าที่ของมันเช่นเดิม เสียงหรีดหริ่งเรไรร้องขับขานในยามค่ำคืนท่ามกลางบรรยากาศอันแสนเงียบสงบ ขับกล่อมให้คนในคุ้มลักษิการวมทั้งธรินดาหลับไปอย่างง่ายดาย
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงเคาะประตูหนักๆ ดังขึ้นกลางดึกทำให้คนที่นอนหลับอยู่บนเตียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ธรินดาลุกขึ้นนั่งแล้วเงี่ยหูฟังว่าเสียงนั้นมาจากไหน เมื่อไม่แน่ใจหญิงสาวจึงลุกขึ้นจากเตียง เอาหูแนบประตูจึงรู้ว่าเสียงเคาะที่ดังแบบไม่เกรงใจนั้นมาจากหน้าห้องของตนนี่เอง
“ใครคะ” เสียงหวานถามออกไปโดยที่ยังไม่ยอมเปิดประตูตามสัญชาตญาณระมัดระวังตัวยามอยู่คนเดียว
“ฉันเอง เปิดประตูเดี๋ยวนี้ธรินดา” เสียงที่ตะโกนตอบกลับมาไม่ได้แค่ตอบแต่ยังออกคำสั่งไปพร้อมกันด้วย
ธรินดาตกใจมากกว่าเดิม เมื่อได้ยินเสียงดุๆ ที่บ่งบอกความเอาแต่ใจนั้นอย่างชัดเจน เธอจำได้ดีทีเดียวว่าเสียงนั้นเป็นเสียงใคร ปรัชญ์กลับมาบ้านคืนนี้ แถมมาเคาะห้องเธอดึกๆ แบบนี้ ไม่แคล้วคงจะมาหาเรื่องเธออีกเป็นแน่
“คุณปรัชญ์มีอะไรคะ” ธรินดาถามกลับไป แต่ยังไม่คิดจะเปิดประตูให้ตามคำสั่งของคนข้างนอกง่ายๆ เพราะรู้ดีว่าคนคนนั้นชอบระรานตัวเองแค่ไหน
“นี่เธอจะไม่เปิดใช่ไหม”
“ถ้าคุณปรัชญ์มีอะไรจะให้เล็กช่วยก็บอกมาสิคะ หรือถ้ามีเรื่องอยากคุยกับเล็กเอาไว้คุยพรุ่งนี้เถอะค่ะ”
หลังจากธรินดาบอกเสร็จ เธอก็รู้สึกว่าปรัชญ์เงียบไป และคล้ายกับจะได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเดินห่างออกไปแล้ว หญิงสาวจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่เรื่องจบลงด้วยดี
ร่างบางกำลังจะกลับไปนอน แต่แล้วก็ต้องร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อลูกบิดถูกขยับก่อนที่แสงจากข้างนอกจะสะท้อนเข้ามาในห้อง พร้อมๆ กับที่ประตูถูกผลักเข้ามา
“คุณปรัชญ์!”
ธรินดาอุทานออกมาอย่างตกใจ รีบดันประตูห้องให้ปิดลงด้วยมือไม้อันสั่นเทา ตอนนี้ร่างสูงยืนค้ำตระหง่านอยู่ที่หน้าห้อง ใบหน้าหล่อเหลาที่มีหนวดเครารกครึ้มแดงก่ำ ลมหายใจกรุ่นไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์เข้มข้น บ่งบอกว่าดื่มมาอย่างหนัก ร่างเล็กใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีผลักประตู แต่ประตูนั้นไม่ได้ปิดลงตามที่เธออยากให้เป็น เพราะมันถูกมือแข็งแรงของคนเมาดันเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงอันมหาศาลของเขา
“ฉันบอกให้เปิดประตูทำไมไม่เปิด ต้องให้ฉันเสียเวลาไปเอากุญแจสำรองมาเปิดเอง” เขาเล่นงานเธอด้วยเสียงที่ดุดันและบ่งบอกความหงุดหงิดทันที
“เล็กเห็นว่ามันดึกแล้วนี่คะ”
“เธอตั้งใจจะหลบหน้าฉันมากกว่า คิดเหรอว่าจะหลบพ้นน่ะ”
ไม่แค่ถามแต่ร่างสูงยังย่างสามขุมขยับเข้ามาใกล้จนแทบจะชนกับร่างบาง ทำให้ธรินดาต้องละมือจากประตู แล้วรีบถอยร่นหนีคนที่กำลังรุกคืบเข้ามาจนเกือบประชิดตัว หากเปรียบเป็นการรบ ตอนนี้เธอก็ถูกข้าศึกบุกผ่านกำแพงเมืองเข้ามาข้างในแล้ว
“ทำไมเล็กจะต้องหลบหน้าคุณปรัชญ์ด้วย” ทั้งที่กลัวแสนกลัวแต่ก็ยังพยายามทำใจดีสู้เสือ โดยการตอบโต้กลับไปด้วยเสียงสั่นๆ
“ก็วันนี้เป็นวันที่เจ็ดที่เธอสาบานไว้กับฉันพอดีไม่ใช่เหรอ” ปรัชญ์ตอบพลางใช้มือดันประตูห้องให้ปิดลง แล้วสืบเท้าเข้าหาร่างบางที่เอาแต่ถอยหลังหนี ท่ามกลางความมืดสนิทของห้อง เพราะธรินดารูดม่านให้ปิดตั้งแต่ช่วงหัวค่ำแล้ว แสงไฟจากด้านนอกจึงไม่สามารถลอดผ่านเข้ามาได้
”แล้วมันเกี่ยวอะไรกันคะ” เจ้าของเสียงหวานทั้งถาม ทั้งถอยหนี
“ฉันก็จะมาพิสูจน์คำสาบานของเธอน่ะสิธรินดา”
ธรินดาไม่คิดว่าเขาจะจริงจังกับเรื่องวันนั้นถึงเพียงนี้ ขนาดเธอยังลืมไปแล้วและไม่คิดจะเก็บมันมาใส่ใจ ซึ่งเธอคิดว่าเขาเองก็น่าจะไม่ใส่ใจกับการโต้เถียงกันเพียงไม่กี่ประโยคในวันนั้นเหมือนกัน
“พิสูจน์ยังไงคะ”
“เธอสาบานว่าถ้าเธอโกหกว่าไม่ได้คิดถึงฉัน ขอให้เธอตกเป็นเมียฉันภายในสามวันเจ็ดวันไม่ใช่เหรอ”
“เล็กไม่ได้พูด คุณปรัชญ์พูดเองเออเองทั้งนั้น”
“ไม่ว่าจะใครพูดแต่นั่นก็คือคำสาบาน”
ปรัชญ์ก้าวยาวๆ จนถึงตัวของธรินดา แล้วตวัดแขนรั้งร่างบางเข้ามากอดอย่างรวดเร็วในแบบที่เธอไม่มีทางหลบเลี่ยงได้เลย นั่นทำให้หญิงสาวยิ่งตกใจเพราะไม่คิดว่าปรัชญ์จะกล้าทำเช่นนั้น
“ปล่อยเล็กค่ะคุณปรัชญ์ ถ้าคุณปรัชญ์เมาก็ไปนอนเถอะนะคะ” เสียงหวานร้องอุทธรณ์ขึ้น ในยามนี้ธรินดาไม่รู้จะขอความช่วยเหลือจากใครได้ เพราะแม่ใหญ่ไปปฏิบัติธรรม ส่วนปราณต์ก็เข้าเวรที่โรงพยาบาล ชั้นบนนี้จึงมีเพียงเธอกับปรัชญ์อยู่กันตามลำพังเท่านั้น
“เธอมีสิทธิ์มาสั่งฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ธรินดา”
“เล็กไม่ได้สั่งนะคะ เล็กแค่ขอร้อง...”
“อยากร้องก็ร้องไปสิ ฉันไม่ได้ห้ามนี่” เขาตอบยียวนและใช้แขนกอดรัดร่างเล็กแน่นกว่าเดิม
“ทำไมคุณปรัชญ์ถึงจงเกลียดจงชังเล็กนัก”
“ใช่...ฉันเกลียดเธอ เกลียดตาซื่อๆ ใสๆ ของเธอ เกลียดสีหน้าท่าทางที่เหมือนไร้ความรู้สึกของเธอ เกลียดที่เธอชอบทำให้ฉันหงุดหงิด เกลียดที่เธอทำให้ฉันไม่เป็นตัวของตัวเองเวลาที่อยู่ใกล้ๆ เธอ เกลียดที่เธอทำให้ฉันอยากทำแบบนี้กับเธอไงล่ะธรินดา”
เขาพูดโดยที่ธรินดาไม่มีโอกาสได้เห็นว่าสายตาเขาสื่ออะไรขณะพูดกับเธอเช่นนั้น จบคำปรัญช์ก็ก้มหน้าลงระดมจูบ คนถูกรุกรานรีบส่ายหน้าหนีเป็นพัลวัน แต่หลบปากและจมูกของคนพาลได้แค่ที่หน้า เพราะปรัชญ์ซุกหน้าลงไปหาซอกคอขาวละมุนของเธอแทน
“ปล่อยเล็กค่ะคุณปรัชญ์...ปล่อยเล็ก...”
ธรินดาร้องห้ามและพยายามจะสะบัดตัวให้หลุดจากอ้อมกอดของเขาให้ได้ แต่เรี่ยวแรงของเธอช่างน้อยนิดเหลือเกิน เมื่อเทียบกับลำแขนกำยำที่เต็มไปด้วยความแข็งแรงของเขา ยิ่งลำคอถูกเขาซุกไซ้อย่างชวนสยิวเช่นนี้ เธอยิ่งรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอลงไปมากกว่าครึ่ง
ยิ่งเธอดิ้น ปรัชญ์ก็ยิ่งจูบ ใบหน้าของเขาคลุกอยู่ที่ซอกคอของเธอ ธรินดารู้สึกถึงสัมผัสหลากหลายที่เจือมากับฤทธิ์แอลกอฮอล์ ปรัชญ์ทั้งจูบ ดูด เม้ม และบางจังหวะก็ขบกัดเบาๆ ที่แอ่งชีพจร ทำให้เธอขนลุกซู่ นึกถึงแดร็กคูล่าหนุ่มผู้กระหายเลือดและฝังเขี้ยวคมๆ ลงบนซอกคอของหญิงสาวสักคน ใบหน้าของผู้หญิงเหล่านั้นไม่ได้ฟ้องถึงความเจ็บเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับหลับตาลง เหมือนกับได้รับความสุขมากเหลือเกินจากการถูกดูดเลือด เช่นเดียวกับเธอที่ตอนนี้สั่นเทาไปทั้งตัว
ชั่วพริบตาต่อมาปรัชญ์ก็หยุดจูบ ทำให้ธรินดาเรียกสติของตัวเองกลับมาได้ พร้อมๆ กับที่ร่างบางถูกช้อนอุ้มแล้วพาไปยังเตียงที่เธอเพิ่งจะลุกมา
เตียงที่เคยกว้างแคบลงไปถนัดตาเมื่อร่างใหญ่ก่ายเกยขึ้นมานอนด้วย ธรินดาพยายามจะยกมือขึ้นผลักไหล่หนาออกห่าง ปรัชญ์จึงรวบสองมือเล็กของเธอตรึงไว้เหนือศีรษะด้วยมือเพียงข้างเดียวของเขา ก่อนจะเอื้อมอีกข้างไปเปิดไฟหัวเตียง
แสงไฟจากหัวเตียงสาดส่องลงมายังสองร่างที่ฝ่ายหนึ่งนอนหงายอยู่เบื้องล่างโดยมีร่างกำยำนอนเกยทับอยู่ ธรินดามองหน้าปรัชญ์ได้ชัดกว่าตอนที่เขายืนอยู่หน้าประตู เช่นเดียวกับที่สายตาคมของเขาเองก็จ้องมองลงมาที่ใบหน้าเนียนละเอียดของเธอเช่นกัน ประกายตาของหญิงสาวฉายแววตื่นตระหนก ไม่คิดว่าแค่ชั่วเวลาไม่ถึงห้านาที ตอนนี้ตัวเองจะมานอนอยู่ใต้ร่างของผู้ชายที่เธออยากจะวิ่งหนีเขามากที่สุด
ชายหนุ่มเพ่งมองเจ้าของเตียงที่ตอนนี้สั่นเทาไปทั้งตัว สองมือเล็กๆ ยังพยายามบิดเพื่อให้พ้นจากมือเขา เช่นเดียวกับที่เรือนกายแสนนุ่มนิ่มก็ยังดิ้นรนอยู่ใต้ร่างของเขาเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ ปากอิ่มสีชมพูระเรื่ออย่างคนสุขภาพดีสั่นระริก สายตาฟ้องชัดว่าตื่นกลัวกับการมีเขาทาบทับอยู่บนร่างเล็กๆ และรวบมือน้อยๆ ของเธอเอาไว้แค่ไหน
...ให้ตายเถอะธรินดา เธอไม่รู้หรือไงว่ายิ่งทำแบบนั้นก็ยิ่งเป็นการยั่วยุ ให้เขาอยากจะทำอะไรตามใจตัวเองมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม...
“อย่ารังแกเล็กเลยนะคะ...” เสียงหวานร้องห้ามปรามเขาออกมา ทั้งๆ ที่ความหวังของตัวเองช่างน้อยนิด เพราะเธอรู้ดีว่าหากปรัชญ์คิดจะทำอะไรแล้วเขาไม่เคยเปลี่ยนใจ