บท
ตั้งค่า

๒.๑ ทวงคำสาบาน

ทวงคำสาบาน

วันนี้เป็นวันที่สามแล้วที่ธรินดากลับมาอยู่บ้านในช่วงการปิดเทอม แต่กลับเป็นวันแรกที่ลูกชายคนเล็กของแม่เลี้ยงลักษิกายอมกลับบ้านมาร่วมโต๊ะอาหารเย็นกับครอบครัว คนซึ่งเป็นใหญ่ที่สุดในบ้านพอใจจนยิ้มแก้มแทบปริ แม้ว่ากว่าจะตามปรัชญ์ให้กลับบ้านได้จะเหนื่อยในการโทร.จิกอยู่หลายครั้งหลายคราก็ตาม

“คลินิกทำไปถึงไหนแล้วตาปราณต์” แม่เลี้ยงลักษิกาซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะหันไปถามลูกชายคนโตที่นั่งอยู่ด้านขวามือของตน โดยปรัชญ์นั่งอยู่ถัดจากพี่ชาย ส่วนธรินดานั่งทานอาหารเงียบๆ อยู่ด้านซ้าย

“เกือบเสร็จแล้วครับแม่ เดือนหน้าก็น่าจะเปิดได้”

“จะไม่เหนื่อยเกินไปเหรอลูก ไหนจะต้องทำงานที่โรงพยาบาล ไหนจะต้องมาดูแลคลินิกอีก ตรวจโอพีดีอยู่ทุกวันไม่ใช่เหรอ”

“อีกสองเดือนผมก็ไม่ต้องตรวจโอพีดีแล้วละครับ ตอนนี้มีหมอมาบรรจุใหม่หลายคน ทางโรงพยาบาลจะให้หมอใหม่ตรวจโอพีดีแทน ส่วนผมก็ตรวจคนไข้ใน น่าจะพอมีเวลาดูคลินิกครับ แต่คงไม่ได้ทำคนเดียว คงหาผู้ช่วย ไม่งั้นก็ไม่ไหวเหมือนกัน”

“ความจริงไม่เห็นต้องทำให้เหนื่อยเลย ทำงานที่โรงพยาบาลอย่างเดียวก็พอ เย็นก็กลับมาพักผ่อน เงินทองบ้านเราก็พอมีไม่ได้เดือดร้อนอะไร ทำไมไม่เอาเวลามาพักผ่อน” แม่เลี้ยงลักษิกาไม่ค่อยจะเห็นด้วยในเรื่องที่ลูกชายจะเปิดคลินิกเท่าใดนัก เพราะลำพังงานหมอในช่วงกลางวันก็หนักพอแล้ว

“ผมไม่ได้ทำเพื่อเงินหรอกครับแม่ ที่เปิดก็เพราะสงสารคนไข้ส่วนหนึ่งที่ต้องไปนั่งรอที่โรงพยาบาล บางคนรอเป็นครึ่งค่อนวันกว่าจะได้ตรวจ แม่ก็รู้ว่าโรงพยาบาลคนเยอะแค่ไหน”

“แล้วเรื่องค่ารักษาล่ะ ปราณต์จะเก็บยังไง”

“เก็บไม่แพงหรอกครับ ก็อย่างที่บอกว่าผมไม่ได้คิดจะเปิดคลินิกเพื่อเงิน อยากช่วยเหลือคนไข้ที่พอจะช่วยได้ตามกำลังตัวเองมากกว่า”

ธรินดาซึ่งนั่งฟังการสนทนาระหว่างพี่ชายคนโตกับแม่บุญธรรมของตัวเองอยู่เงียบๆ ยิ่งนึกชื่นชมต่อความเป็นคนดีและมีน้ำใจอันน่ายกย่องของปราณต์ สมแล้วที่เขาเลือกเรียนหมอ เพราะหลังจากจบมาก็คิดแต่จะช่วยเหลือคนที่เจ็บป่วยด้วยใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเอื้ออาทรจริงๆ

“เอาเถอะ แม่ก็แค่เป็นห่วง แต่ถ้าปราณต์ทำแล้วสบายใจแม่ก็คงไม่ห้าม แล้วแต่ปราณต์ก็แล้วกัน” แม่เลี้ยงลักษิกาไม่คิดจะคัดค้านอีกเมื่อลูกชายยืนยันเช่นนั้น “แล้วปรัชญ์ล่ะ เรื่องหมั้นกับหนูนัสรินจะว่ายังไง ปรัชญ์ผลัดแม่มานานแล้วนะ”

เสร็จจากเรื่องของลูกชายคนโต คนเป็นแม่ก็หันไปถามลูกชายคนเล็กบ้าง เพราะเขาผลัดวันประกันพรุ่งในเรื่องนี้มานานหลายปีแล้ว ความจริงแม่เลี้ยงลักษิกาอยากให้ปรัชญ์หมั้นกับนัสรินซึ่งเป็นลูกสาวของเพื่อนสามีผู้ล่วงลับตั้งแต่ก่อนเขาจะไปเรียนต่อปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกาเสียอีก แต่ปรัญช์ก็ปฏิเสธและหนีไปเรียนเอาเสียดื้อๆ ทว่าแม่เลี้ยงลักษิกาก็ยังคิดที่จะไม่เลิกล้มความตั้งใจของตนเองง่ายๆ เหมือนกัน

คำถามของแม่บุญธรรมทำให้ธรินดาหันไปมองทางปรัชญ์อย่างเผลอตัว และลุ้นว่าเขาจะออกอาการโวยวายเหมือนเช่นทุกครั้งที่ถูกแม่ถามเรื่องนี้หรือเปล่า ปรัชญ์เองก็เหมือนจะมองมาทางเธอแวบหนึ่งเช่นกัน ทำให้ธรินดาต้องรีบก้มหน้างุดเพื่อหลบตาคมดุคู่นั้น ก่อนที่ชั่วอึดใจต่อมาปรัชญ์จะตอบคำถามของแม่ใหญ่ในแบบที่ทุกคนคาดไม่ถึง

“แม่ยังไม่เลิกคิดจะจับผมคลุมถุงชนอีกเหรอครับ”

“ไม่เลิกหรอก เรื่องอื่นแม่ยอมปรัชญ์หมด แต่เรื่องนี้ปรัชญ์ต้องยอมแม่” แม่เลี้ยงลักษิกายืนกรานความตั้งใจของตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว คิดว่ายังไงเสียก็จะรบกับลูกชายคนเล็กอีกสักยก ถ้าขืนเขายังไม่ยอมตามใจตนในเรื่องนี้

“งั้นจะทำยังไงก็แล้วแต่แม่เลี้ยงเถอะครับ”

“แสดงว่าปรัชญ์ยอมหมั้นกับหนูนัสแล้วใช่ไหม”

“ครับ” ปรัชญ์ตอบสั้นๆ น้ำเสียงราบเรียบเช่นเดียวกับสีหน้าและแววตา จนไม่มีใครเดาได้ว่าเขาอยู่ในอารมณ์เช่นใด หากแต่ก็นำมาซึ่งความพอใจของคนเป็นแม่เป็นอย่างยิ่ง

“นี่แม่ไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหมตาปราณต์” แม่เลี้ยงลักษิกาหันไป ถามลูกชายคนโตเหมือนไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง “โอ๊ย...แม่ดีใจจนไม่รู้จะพูดว่าอะไรดีแล้ว เห็นทีต้องรีบไปให้หลวงตาที่วัดดูฤกษ์ให้แล้ว เอาฤกษ์ที่เร็วที่สุดก็แล้วกันนะ”

“แล้วแต่แม่เลี้ยงเถอะครับ”

จบคำปรัญช์ก็รวบช้อน ลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วเดินดุ่มๆ ไปยังห้องตัวเองโดยไม่ยอมดื่มน้ำด้วยซ้ำ โดยมีสายตาสามคู่มองตามด้วยความรู้สึกที่ไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก

หลังจากอาหารมื้อค่ำผ่านไป สมาชิกของครอบครัวต่างก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน แม่เลี้ยงลักษิกากับปราณต์ขึ้นชั้นบน ส่วนธรินดาออกไปเดินเล่นบริเวณหน้าบ้าน ที่เธอกล้าก็เพราะคนที่ตัวเองกลัวว่าจะบังเอิญออกมาเผชิญหน้ากับเขานั้นได้กลับมาบ้านแล้ว

ใบหน้าสวยหวานแหงนเงยขึ้นมองท้องฟ้า คืนนี้พระจันทร์ทอแสงริบหรี่ สีเหลืองนวลที่เคยส่องสว่างเต็มดวงหดหายไปจนเหลือให้เห็นแค่เสี้ยวเล็กๆ ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติการโคจรและมุมตกกระทบของแสงระหว่างพระอาทิตย์ พระจันทร์ โลก และยังเป็นสัญญาณอีกว่า อีกไม่กี่วันแสงเสี้ยวเล็กๆ เหล่านั้นก็จะมืดดับลงในคืนวันแรมสิบห้าค่ำ ก่อนจะส่องสว่างใหม่เมื่อคืนวันข้างขึ้นเดินทางมาถึงอีกครั้ง

ธรินดาถอนสายตาจากภาพนั้น ก่อนจะกลับเข้าบ้านพร้อมกับระบายลมหายใจเบาๆ เพื่อสลัดเอาความเหงาอ้างว้างยามที่มองพระจันทร์ซึ่งใกล้จะมืดดับออกไปจากใจ แม้ว่าเธอจะเคยถูกพ่อแม่แท้ๆ ทอดทิ้งไปตั้งแต่เด็ก ทว่าความรู้สึกเหล่านั้นก็ถูกเติมเต็มจนแทบจะสมบูรณ์จากความรักและความอบอุ่นของสมาชิกเกือบทุกคนในบ้านหลังนี้ แม้จะยกเว้นอยู่คนหนึ่งแต่เธอก็ไม่อยากเก็บมันมาเป็นปมใดๆ ในหัวใจ

หลังจากกลับเข้าบ้าน ตั้งใจจะขึ้นห้องเพื่ออาบน้ำและเข้านอนเลย แต่หญิงสาวรู้สึกอยากจะดื่มอะไรเย็นๆ จึงแวะเข้าครัวก่อน เสียงกรุ๊งกริ๊งของช้อนที่กระทบกับแก้วดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอแว่วมาพร้อมกับกลิ่นกาแฟหอมฉุย ธรินดาคลี่ยิ้มออกมานิดๆ เพราะชอบดมกลิ่นหอมๆ ของมัน แม้ว่าปกติจะเป็นคนที่ไม่ดื่มกาแฟเลยก็ตาม เมื่อเข้าไปถึงก็พบว่าคนที่กำลังชงกาแฟคือบัวคำนั่นเอง

“พี่บัวคำนี่เองนึกว่าใคร” เจ้าของเสียงหวานเอ่ยทักทายขณะเดินตรงไปยังตู้เย็นและหยิบน้ำออกมารินใส่แก้ว

“คุณหนูเล็ก...ยังไม่ขึ้นบ้านอีกเหรอคะ”

“ยังค่ะ พอดีเล็กออกไปเดินเล่นมาน่ะค่ะ หิวน้ำก็เลยแวะมาดื่มน้ำก่อน ว่าแต่พี่บัวคำจะดื่มกาแฟเหรอคะ นี่ก็ใกล้จะได้เวลานอนแล้วระวังจะนอนไม่หลับเอานะ”

“พี่ไม่ได้ชงดื่มเองหรอกค่ะ แต่จะชงให้คุณปรัชญ์ เธอสั่งไว้เมื่อกี้นี่เอง อุ๊ย!” บัวคำซี้ดปากในตอนท้ายพร้อมทั้งทำหน้าบิดเบี้ยวเหยเกและยกมือข้างหนึ่งขึ้นกุมท้องตัวเอง

“เป็นอะไรไปคะพี่บัวคำ” ธรินดารีบถามอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของบัวคำ

“พี่บัวคำปวดท้องค่ะ ท้องเสียตั้งแต่ตอนบ่ายๆ แล้ว ตอนนี้เหมือนจะต้องรีบเข้าห้องน้ำอีกแล้ว พี่บัวคำวานคุณหนูเล็กเอากาแฟนี่ไปให้คุณปรัชญ์หน่อยได้ไหมคะ พี่บัวคำกลัวว่ากว่าจะออกจากห้องน้ำกาแฟจะเย็นชืดเสียก่อน อีกอย่างกลัวคุณปรัชญ์จะรอนานด้วยค่ะ”

“เอ่อ...ได้ๆ ค่ะ” ธรินดารับคำแม้ว่าจะลำบากใจไม่น้อย “ว่าแต่คุณปรัชญ์อยู่ที่ไหนคะ”

“อยู่บนห้องของเธอน่ะค่ะ”

“ไม่ได้อยู่ที่ห้องนั่งเล่นเหรอคะ”

“เปล่าค่ะคุณหนูเล็ก คุณปรัชญ์ขึ้นห้องไปแล้ว ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ ขอบคุณคุณหนูเล็กมากค่ะ พี่บัวคำไปก่อนนะ” พูดจบบัวคำก็รีบวิ่งออกจากห้องครัวเพื่อไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านหลัง ทิ้งกาแฟที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ๆ ไว้พร้อมกับความว้าวุ่นใจของธรินดา

หญิงสาวแทบจะลืมอาการกระหายน้ำของตัวเอง มองแก้วกาแฟตรงหน้าอย่างชั่งใจ สุดท้ายก็จำต้องหยิบมันขึ้นมาไว้ในมือและประคองขึ้นไปยังชั้นสองตามที่รับปากกับบัวคำเอาไว้

ก๊อก...ก๊อก...

มือเล็กยกขึ้นเคาะห้องตามมารยาทอันดี ก่อนจะผลักประตูเข้าไปเมื่อมีเสียงอนุญาตจากคนที่อยู่ข้างใน

“เข้ามา”

ทันทีที่เข้าไปในนั้นธรินดาก็รู้สึกว่าตัวเองตัวลีบลงและถูกโอบล้อมด้วยกลิ่นอายความเป็นตัวตนของปรัชญ์โดยสิ้นเชิง ทั้งกลิ่นโคโลญเฉพาะตัว บรรยากาศและสไตล์การตกแต่งห้อง มันช่างบ่งบอกความเป็นเขาอย่างเข้มข้นจนเธอใจสั่นขาสั่นไปหมด เธอไม่เคยย่างกรายเข้ามาในห้องนี้เลย เพราะรู้ดีว่าเจ้าของห้องไม่ชอบให้ใครมาจุ้นจ้าน แม้แต่แม่เลี้ยงลักษิกาเองก็เข้ามานับครั้งได้ คนที่เข้ามาบ่อยที่สุดเห็นจะเป็นบัวคำกับสาวใช้อีกคนที่เข้ามาทำความสะอาดห้องและเอาเสื้อผ้าของเขาไปซักรีดให้เท่านั้น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel