สุภาพบุรุษรูปหล่อ
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามการสนทนาก็จบลงด้วยหัวใจ อันหนักอึ้งของอาจารย์หลี่กับกฎระเบียบปฏิบัติที่ถูกตั้งขึ้นมาใหม่หมดโดยท่านเจ้าเมืองคนใหม่
‘ ข้าราชการทั้งฝ่ายบู๊บุ๋นจะถูกคัดเลือกแต่งตั้งโดยพระองค์โดยตรงเท่านั้น ยกเลิกการสอบคัดเลือกทั้งหมด และทางสำนักภูผาดำต้องส่งกำลังคนมาคอยฝึกปรือให้กับกองทัพตามที่ท่านเจ้าเมืองออกคำสั่ง ’
เพียงพิจารณาทหารที่คุ้มกันพระองค์ในท้องพระโรงที่เป็นเหล่าทหารที่ท่านอาจารย์มิเคยคุ้น ประกอบกับสีหน้ากระอักกระอ่วนกลัวเกรงของเหล่าเสนาอำมาตย์ ทำให้อาจารย์หลี่พอคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ท่านเจ้าเมืองคนใหม่แต่งตั้งคนของตัวเองขึ้นทั้งหมด เพื่อคุมอำนาจ บทบาทและรายได้ของสำนักภูผาดำก็จะถูกลดลงด้วยเพราะส่วนมากผู้คนที่ส่งบุตรหลานมาฝึกฝนที่สำนักโดยมากก็มุ่งหวังอยากให้บุตรหลานได้รับราชการในกองทัพ มีบ้างที่ส่งมาฝึกโดยมุ่งหวังให้มีวิชาป้องกันตัวจากครอบครัวอันมีฐานะแต่ก็เป็นส่วนน้อย
หากความกังวลของท่านอาจารย์หลี่หาใช่เรื่องรายได้ตนเองไม่ หากเป็นเรื่องที่ท่านเจ้าเมืองแต่งตั้งแล้วปลดคนเก่าออกอย่างไม่ดี โดยอ้างว่า ‘ ไม่เหมาะสม ’
สิ่งนั้นท่านพึ่งได้ทราบจากท่านฝูถิงเป่ย ขุนนางอาวุโสอันเป็นที่ปรึกษาทางการเมืองมาตั้งแต่คราวท่านเจ้าเมืองคนเก่า ที่ถ่ายทอดเรื่องราวให้ได้ฟังเมื่อประชุมเสร็จแล้ว ทั้งคู่เดินออกจากเมืองทางฝั่งอุทยานสวรรค์ที่เต็มไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับนานาพรรณ
“ ข้าหนักปากหนักใจเหลือเกิน ท่านอาจารย์หลี่ เห็นทีคราวนี้บ้านเมืองเราจะถึงคราวพลิกผันเสียกระมัง ” ท่านฝูเอ่ยด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ ท่านอย่าได้กังวลมากไป เหตุการณ์อาจมิได้ย่ำแย่อย่างที่เราคิดก็เป็นได้นะขอรับ ” อาจารย์หลี่ปลอบใจ แต่ท่านฝูส่ายศีรษะ
“ ท่านไม่ต้องมาปลอบใจข้าหรอก ท่านน่าจะรู้ดีกว่าข้าว่าอะไรเป็นอะไร ขอเพียงหากเกิดอะไรขึ้นท่านอย่าได้ทอดทิ้งพวกเราชาวเหินเวหาเลยนะ ”
“ ข้าเองก็ได้ชื่อว่าเป็นสายเลือดเหินเวหา ไม่มีทางที่ข้าจะทิ้งแผ่นดินของตัวเอง ท่านฝูวางใจเถอะ ”
“ มันมีข่าวเข้าหูข้าอีกอย่าง เอาอย่างนี้ เรานั่งคุยกันพลางดื่มน้ำชาไปพลางดีไหม ”
“ ดีเหมือนกันขอรับ ”
ท่านฝูจึงชวนอาจารย์หลี่แวะดื่มน้ำชาที่โรงเตี๊ยมมีชื่อ ท่านอาจารย์ถือโอกาสนั้นไหว้วานให้กู่ฉางเล่อไปซื้อชารสดีที่ร้านชื่อดังที่ท่านดื่มอยู่ประจำ
เมื่อได้ของที่ต้องการเรียบร้อยชายหนุ่มก็เดินกลับไปยังโรงเตี๊ยม หากระหว่างทางได้ยินเสียงเอะอะจากมุมหนึ่งจึงหยุดดู
ที่หัวมุมถนนปรากฏรถม้าคันหนึ่งที่มีเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังตะโกนด่าทอสตรีหนึ่งพร้อมทั้งผลักนางจนล้มลงบนพื้นถนนก่อนจะเข้าไปเตะถีบทุบตี มีสตรีอีกสามสี่คนด้านหลังที่แต่งกายเหมือนกันหมด เขาเดาว่าน่าจะเป็นบ่าวรับใช้ ทั้งหมดมองมาที่สตรีที่ล้มลงบนพื้นด้วยแววตาตกใจระคนสงสารแต่ไม่มีใครห้ามหรือเข้าไปช่วย
สุภาพบุรุษเช่นกู่ฉางเล่อหรือจะทนดูการถูกรังแกเช่นนั้นได้ เขารีบสาวเท้าเข้าไปที่นั่นแล้วดึงร่างบอบบางที่กองอยู่กับพื้นและเอาแต่ปัดป้องไม่ต่อสู้ให้ลุกขึ้นมากอดไว้แนบอก
“ นี่มันเรื่องอะไรกัน ” เขาถามเสียงเข้ม เด็กสาวที่เป็นคนทุบตีเมื่อครู่ คะเนด้วยสายตาอายุอานามน่าจะไม่เกินวัย ปักปิ่น แต่แววตาที่ช้อนมองผู้มาเยือนอันเป็นชายหนุ่มสูงใหญ่รูปงามนั่นมีจริตจะก้านเกินวัยนัก
“ ท่านเป็นใครกันหรือพ่อรูปหล่อ เหตุใดจึงรูปงามราวกับเทพมาจุติ ”
“ ข้าเป็นใครไม่สำคัญ แม่นางยังไม่ตอบคำถามข้า เหตุใดจึงทุบตีสตรีผู้นี้ราวกับไม่ใช่คน ” เขาถามกลับเสียงเข้ม แววตาดุดัน ทำให้เด็กสาวผู้นั้นหน้าเสีย
“ ข้าจะทุบตีบ่าวของข้ามันจะเป็นอะไรไป ผิดตรงไหนเล่า ” นางว่าพลางเชิดหน้าแสดงความเย่อหยิ่งจองหอง
“ แล้วนางทำผิดอะไรจึงต้องโดนลงโทษขนาดนี้ ”
“ ก็มันสกปรก ข้าอุตส่าห์ให้เกียรติขึ้นมานั่งในรถเทียมม้านี้ด้วย กลับทำให้รถต้องแปดเปื้อนด้วยโลหิตสกปรก ”
“ โลหิตงั้นรึ นางบาดเจ็บรึ ? ”
“ โลหิตชั้นต่ำจากตัวนางอย่างไรเล่า ข้าสะอิดสะเอียน ไป พวกเจ้า กลับ ส่วนเจ้าซือเซียน เจ้าก็จงเดินกลับไปเองพร้อมกับความอับอายที่ระดูเปียกเปื้อนชุดจนแดงฉานนั่นก็แล้วกัน ” เด็กคนนั้นพูดพลางสะบัดพัดแล้วหัวเราะร่วนอย่างสาแก่ใจก่อนก้าวขึ้นไปนั่งบนรถเทียมม้า แล้วพวกเขาทั้งหมดก็จากไป ทิ้งไว้ก็แต่ร่างของสตรีบอบบางผู้นั้นที่ตัวสั่นเทาอยู่ในวงแขนของบุรุษแปลกหน้า
“ แม่นาง เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ”