บทที่1 พรหมลิขิต 2
เอมวิกาเดินลงจากรถด้วยท่าทางเหมือนละเมอ นี่เหรอบ้านป่าเมืองเถื่อน นี่มันแดนสวรรค์ชัดๆ มองไปทางไหนก็มีแต่ความสวยงามของธรรมชาติและดอกไม้
หญิงสาวเดินตามชายสูงวัยไปอย่างช้าๆผ่านประตูหน้าบ้านเข้ามาอย่างใจลอย โอ..สวรรค์
“ ไร่แสงตะวันยินดีต้อนรับคุณหนูแห่งเมืองกรุง”
เสียงนุ่มทุ้มที่ทักอยู่ตรงหน้าทำเอาหญิงสาวสะดุ้งสุดตัว
“เอ่อ..ค่ะ” ใบหน้าที่หล่อเหลาคมเข้มของชายหนุ่มตรงหน้าทำให้คนเก่งอย่างเอมวิกาพูดไม่ออก ขนาดเธอว่าภาษิตแฟนหนุ่มของเธอหล่อบาดใจแล้ว หากมาเทียบกับบุรุษที่ยืนต่อหน้าเธอตอนนี้คงได้ห่างชั้นกันไกล
“ ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวเองก่อน” เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนยืนนิ่งไม่พูดอะไรต่อ ชายหนุ่มจึงเอ่ยแนะนำตัว
“ ผมชื่อภูตะวันเจ้าของไร่แสงตะวันแห่งนี้ และเป็นคู่หมั้นของคุณหนูเอมวิกา”
น้ำเสียงที่สุภาพนุ่มนวลของเขาฟังดูน่ายินดีที่รู้ว่าหนุ่มรูปงามคือคู่หมั้น หากไม่ติดขัดตรงใบหน้าที่เฉยชา และดวงตาที่แข็งกระด้างของเขาซึ่งผิดจากน้ำเสียงลิบลับ
หญิงสาวเชิดหน้าปรับสภาพความรู้สึกของตนเองทันที เธอต้องไม่หลงใหลไปกับสิ่งลวงตาเหล่านี้ของชายหนุ่มเด็ดขาด
“ ยินดีรู้จักค่ะคุณภูตะวัน ดิฉันเอมวิกาค่ะ”
ภูตะวันชักสีหน้าเล็กน้อยก่อนฉีกยิ้มให้กับหญิงสาวตรงหน้าแค่ที่ปากแต่ไปไม่ถึงดวงตา
“ คุณหนูมาเหนื่อยๆ เชิญทางนี้ดีกว่าครับ ผมจะพาไปห้องเดินทางมาไกลคงอยากพักผ่อน”
“ลำบากคุณภูตะวันเกินไปหรือเปล่าคะ ขอใครสักคนก็ได้ค่ะที่จะนำไป”
“หึๆๆ”
เสียงหัวเราะที่มาจากร่างสูงที่ยืนหันหลัง ทำให้เอมวิภาอยากหาอะไรมาเขวี้ยงใส่สักที
“หัวเราะอะไรมิทราบคะ..คุณภูตะวัน” น้ำเสียงหวานหยาดเยิ้มถามมาอย่างสุภาพและเพราะพริ้ง แต่ในความรู้สึกของภูตะวันแล้ว เขาคิดว่ามันคือคำพูดที่ดัดจริตของผู้หญิงหน้าสวยชาวกรุงนั่นเอง
“เปล่าครับคุณหนูเอมวิกา ไปกันเถอะครับ” ร่างสูงใหญ่ออกเดินนำไปโดยไม่รอให้หญิงสาวค้านหรือซักถามอะไรอีก
หญิงสาวรู้สึกขัดหูกับคำเรียกขานของชายหนุ่มที่เน้นน้ำหนักยามเรียกเธอว่าคุณหนูเอมวิกา เป็นใครก็ฟังออกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ชอบเธอ อย่างนี้น่ะเหรอที่บิดาของเธออยากให้แต่งงานกัน
เฮอะ ! เมินซะเถอะ หญิงสาวสะบัดหน้าพรืดไม่มองแผ่นหลังกว้างของคนเดินนำทาง เธอมองไปรอบๆตัวที่เดินผ่านมาอย่างสนใจ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนบ้านนอกอย่างผู้ชายคนนี้ จะมีรสนิยมที่เลิศ
เพราะเดินโดยไม่มองคนข้างหน้า เมื่อร่างสูงหยุดที่หน้าประตูห้องหนึ่งเธอจึงชนเขาอย่างแรงจนร่างบางเซถลา หากไม่มีมือใหญ่มาคว้าเอาไว้ เธอคงได้ลงไปนอนวัดพื้นเป็นแน่
“ เป็นอย่างไรบ้างครับคุณหนูเอมวิกา เดินระวังๆหน่อยสิครับ อย่าเอาแต่เหม่อ เอ๊ะ! หรือนี่คือ..”
คำพูดที่ขาดหายไปของชายหนุ่ม ทำให้คำขอบคุณที่กำลังมารอที่ริมฝีปากบางผลุบหายไปทันที เธอไม่ใช่เด็กอมมือที่จะไม่รู้ว่าคำพูดที่ผู้ชายคนนี้จะเอ่ยออกมามันคืออะไร
“ แน่จริงก็พูดออกมาให้หมดสิคะคุณภูตะวัน” เสียงหวานเอ่ยออกมาไม่ห่างจากอกเขา ภูตะวันชักเท้าถอยหนีไปหนึ่งก้าว เขาจะต้องไม่ พ่ายแพ้เสน่หามายาของผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิงที่เคยปฏิเสธการแต่งงานกับเขา
“ ยอมรับว่าผมไม่แน่สักเท่าไหร่เชิญคุณหนูพักผ่อนเถอะครับ เวลาอาหารของที่นี่ทุ่มตรงนี่ก็..” ร่างสูงก้มมองนาฬิกาเรือนหรูที่ข้อมือเล็กน้อย “เพิ่งจะสิบเจ็ดนาฬิกา กว่าจะถึงเวลาอาหารคุณคงหิว เดี๋ยวผมจะให้เด็กยกของว่างมาให้”
ร่างสูงเอ่ยจบก็เตรียมจะก้าวเดิน เขาไม่อยากอยู่ใกล้กับแม่มดร้ายคนนี้ เพียงแค่คุยกันเพียงไม่กี่ประโยค เขาก็รู้แล้วว่าเธอมีเสน่ห์ดึงดูดหัวใจของเขาให้สั่นได้แค่ไหน
“ เดี๋ยวก่อนสิคุณ”
ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อย
“มีอะไรอีกละคุณหนู” แม้น้ำเสียงจะไม่กระชากห้วน แต่คนฟังก็รู้ว่าเขารำคาญ
“ อ๋อ ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่อยากไปพบคุณแม่ของคุณ”
“ คุณแม่พักผ่อนอยู่ เธอจะได้พบกับท่านแน่ ตอนอาหารค่ำนี้”
“แต่ฉันอยากไปพบเธอก่อนไม่ได้หรือคะ” เอมวิกาคิดว่า การที่เธอมาถึงบ้านของหญิงสูงวัยผู้ใจดีอย่างคุณวรรณวลี เธอก็ควรแวะไปกราบท่านก่อนเป็นอันดับแรก
“ไม่ได้ยินเหรอว่าคุณแม่พักผ่อนอยู่ เธอเองก็ควรที่จะไปพัก และอาบน้ำได้แล้ว หน้าโทรมยังกับอะไร”
คำว่าหน้าโทรมของเขาทำให้หญิงสาวรู้สึกทนไม่ได้ มือบางรีบดึงประตูบานใหญ่ให้เปิดและปิดอย่างแรง ก่อนจะรีบวิ่งตรงไปยังโต๊ะเครื่องแป้งที่มีกระจกเงาบานใหญ่ตั้งอยู่
หญิงสาวรีบพลิกซ้าย มองขวาเอียงตัวไปมา เพื่อจะได้มองหน้าตาและรูปร่างตัวเองให้ชัดเพื่อหาความโทรมอย่างที่ผู้ชายคนเมื่อกี้บอก
แต่ไม่ว่าจะหาอย่างไร เธอก็ยังคงเห็นความงามที่ยังคงอยู่บนใบหน้าและร่างกายของเธอ