บทที่ 9
การอ่านและการเขียนเป็นเรื่องที่ซิมมี่ ลู ไม่เคยมีความสามารถเลย แต่ถึงกระนั้นจอห์น ที. ก็มิได้ละความพยายามที่จะสอนเธอ บ่อยครั้งที่เขาต้องออกไปลาดตระเวนนอกค่ายนับเป็นวัน ๆ บางครั้งก็เป็นสัปดาห์ และเวลาก็ผ่านไปโดยที่ซิมมี่ ลู มิได้สนใจในหนังสือเลย
ขณะนี้จอห์น ที. กําลังนั่งเคียงข้างเธออยู่ตรงโต๊ะ ช่วยเปิดหนังสือให้ จับตาดูอย่างใกล้ชิด ขณะที่ ซิมมี่ ลู สะกดคําง่าย ๆ อย่างยากลําบาก จอห์น ที. เฝ้าแก้ไขให้เธออย่างอดทนยิ่งนัก
เธอไม่พอใจในความรู้ที่เขาเหนือกว่าเธอมาก ไม่ชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ทําให้เธอรู้สึกต้อยต่ำยิ่งนัก และความไม่สามารถของเธอแม้ในเรื่องการอ่านเขียนเบื้องต้นง่าย ๆ ทําให้เธอรู้สึกว่าตนเองเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญาในสายตาของเขา โดยปกติแล้ว พวกผู้ชายต่างหากที่ทําสิ่งโง่เขลาเบาปัญญาในทุกครั้งที่อยู่ใกล้เธอ ดังนั้นซิมมี่ ลู จึงไม่เคยอยากให้มันเป็นไปในทางตรงกันข้ามเลย
เธอชักนิ้วที่ไล่ไปตามตัวอักษรบนหน้าหนังสือนั้น หันมาถามสามีว่า
“นี่ ถามจริงๆ เถอะ เขาไม่เคยเขียนอะไร นอกจากไอ้เรื่องหมา ๆ แมว ๆ นี่บ้างรึไง”
“เยอะแยะไป แต่นี่มันเป็นหนังสือเรียน คุณจะต้องเริ่มจากบทเรียนง่าย ๆ ไปก่อนเถอะน่า...” จอห์น ที. เร่งเร้าชี้ไปที่หน้าหนังสือนั้น
“นี่...มีใครเขาเคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องความรักระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงบ้างไหมล่ะ” เธอเริ่มขึ้น เพื่อเบนความสนใจของเขา ให้จอห์น ที. ลืมเรื่องหนังสือที่น่าเบื่อหน่ายนี่เสียที “จริง ๆ นะ ฉันอยากอ่านหนังสือพรรค์นั้นมากกว่า”
“มันก็พอมีหนังสือแบบนั้นอยู่เหมือนกัน”
“แล้วคุณเคยอ่านบ้างไหมล่ะ”
“เคยสิ” เขาหลบตาลงทันที สัมผัสละไออุ่นของนวลเนื้อตรงต้นขาที่เบียดชิดเข้ามา และไหล่กลมมนที่แอบอยู่กับแผ่นอก
“ไหน...เล่าให้ฉันฟังหน่อยซี่” เธอโลมไล้ฝ่ามือบางเบาอยู่กับแผงอกของสามี “แล้วในหนังสือนั่นน่ะ เขาบอกหรือเปล่าว่าผู้หญิงมีความรู้สึกยังไง เวลาที่ถูกผู้ชายกอดแล้วก็ลูบไล้ไปตามเนื้อตัวน่ะ แล้วเขาอธิบายเกี่ยวกับวิธี ‘ทํารัก’ ยังไงบ้างล่ะ มีวิธีแปลก ๆ ใหม่ ๆ บ้างหรือเปล่า”
หนังสือถูกดึงไปจากมือของเขา เอาไปวางไว้ข้างหนึ่งแล้ว
“ซิมมี่ ลู นี่ไม่ใช่วิธีจะเรียนอ่านหนังสือนะ” จอห์น ที. พูดเสียงหนัก ๆ แต่ร่างของภรรยาขึ้นมานั่งอยู่บนตักของเขาแล้ว ซึ่งเขาไม่อาจจะละสายตาให้มองสูงขึ้นกว่านั้นได้
“งั้น เราก็มาเรียนอย่างอื่นซี่” เสียงเบา ๆ ของเธอทั้งชวนทั้งเชิญ “มันยังมีอะไรบางอย่างที่ฉันไม่เคยเรียนรู้เลย สอนฉันหน่อยนะจอห์น ที.” เธอเม้มริมฝีปากอยู่กับใบหูของเขา และหนังสือเล่มนั้นก็ตกลงจากโต๊ะ
พระจันทร์ลอยดวงเด่นอยู่เหนือแผ่นฟ้าอันนวลนุ่ม ราวปูลาดไว้ด้วยกํามะหยี่ แต่งแต้มด้วยแสงดาวอันจรัสเรือง ครอบคลุมอยู่เหนือความมืดดําของแผ่นดิน ทางทิศเหนือ เทือกเขาใหญ่ในตระหง่านอยู่เป็นประหนึ่งปราการอันมืดมิดที่แฝงอันตราย ความลึกลับที่ชวนพิศวง และความเหี้ยมอันป่าเถื่อนไว้
จากป้อมยามที่อยู่รอบปริมณฑลของค่ายแห่งนี้ มีเสียงสะท้อนก้องมาว่า
“9 ทุ่มเหตุการณ์ปรกติ” และเสียงขานรับต่อ ๆ กันไป จากยามคนหนึ่งสู่ยามอีกคนหนึ่ง เจค คัทเตอร์ ก้าวตรงไปยังเสาไม้ที่ค้ำหลังคารามาด้าซึ่งอยู่ภายนอกตัวอาคารบ้านของเวดเอนไหล่ลงพิงเสาต้นนั้นไว้
แสงไฟสาดสว่างออกมาทางหน้าต่าง ช่วยขับไล่เงามืดบางส่วนของมุมภายนอกให้เลื่อนไป คัทเตอร์ทอดสายตามองเข้าไป มองเห็นบรรดานายทหาร และภรรยาของเขาเหล่านั้นที่รวมตัวกันอยู่ภายใน เสียงสนทนาเสียงหัวเราะลอยมาเข้าหู ขณะนี้เขาก็ได้มาปรากฏตัวเพื่อความพอใจของพันเอกและคุณนายเบทเทนดอร์ฟแล้ว และถึงเวลาที่เขาควรจะต้องกลับเสียที ซึ่งคัทเตอร์แน่ใจว่าไม่มีใครพะวงหาเขาแน่
แต่กระนั้นก็ยังมีอะไรบางสิ่งยับยั้งเขาไว้ คัทเตอร์สัมผัสกับความรู้สึกเหงาลึก ๆ ในใจของตน และพยายามจะสลัดความรู้สึกนั้นออกไป บอกตนเองว่าเขาคุ้นชินกับการอยู่ตามลําพังมามากและกระทําตนอยู่เหนือความอาวรณ์มาโดยตลอด
เขายืดร่างขึ้น ตัดสินใจที่จะเดินออกไปจากที่นั่น แต่มีเสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นซึ่งทำให้ต้องชะงักอยู่ เมื่อหันไปมองก็เห็นมิสซิสเวดเดินออกมาจากประตูบ้าน เขาเห็นเธอมีท่าทางลังเลใจไปเมื่อเห็นเขาเข้า และแล้วก็เดินตรงเข้ามาหาด้วยท่าทีโล่งใจ
“ผู้กองคัทเตอร์ แหม...ฉันน่าจะเดาได้นะว่าคุณจะต้องออกมายืนอยู่ที่นี่” เธอเข้ามาหยุดอยู่ข้างเสาที่เขายืนอยู่ “เอ๊ะ ไม่ได้สูบบุหรี่หรอกหรือคะ” น้ำเสียงที่ถามบอกความแปลกใจ “ฉันนึกว่าคุณออกมาสูบบุหรี่เสียอีก”
การให้คําอธิบายไม่มีความหมายอะไร ดังนั้น คัทเตอร์จึงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ หยิบซิการ์มวนยาวออกมาถือไว้
“เกลียดกลิ่นซิการ์หรือเปล่าครับ” เขาเอ่ยถามอย่างไม่ตั้งใจ
“ไม่หรอก” แม้ว่าอากาศในยามค่ำคืนจะอบอุ่นพอสบาย แต่เธอก็ยังใช้ผ้าคลุมไหล่ เขาอดที่จะเหลือบแลมองช่วงลําคอเรียวขาวนวลระหง ยามที่เธอแหงนหน้าขึ้นชมดวงดาวมิได้ แต่ขณะเดียวกัน ก็รู้สึกว่าเธอลอบปรายตามองเขาอยู่
“ข้างนอกนี่เงียบจัง” เธอเอ่ยขึ้น ขณะที่คัทเตอร์เป่าไม้ขีดให้ดับลง
เขามองไปทางหน้าต่าง ซึ่งมองเห็นแขกเหรื่อที่นั่งกันอยู่ภายใน
“แต่ข้างในคนที่ไม่ได้มากจนเกินไปหรอกครับ”
เธอเปล่งเสียงหัวเราะระรื่นออกมาเบา ๆ
“คุณคงไม่ชอบอยู่ในที่ซึ่งทําให้รู้สึกเหมือนถูกจํากัดเขตเลยใช่ไหมผู้กอง ไม่ว่าสิ่งที่มาจํากัดจะเป็นฝาผนังหรือว่าผู้คน หรือแม้แต่สิ่งที่คุณคิดว่าคนอื่นเขาจะคิด”
“อะไรทําให้คุณพูดอย่างนั้นล่ะครับ” เขาหันมามองเธออย่างพิจารณา แต่ก็มิได้มีท่าว่าจะปฏิเสธ
“ก็...จากความรู้สึกของฉันน่ะสิ” ฮันน่าส่ายศีรษะ เหมือนจะบอกว่า แท้ที่จริงแล้วมันก็มิได้มีความสลักสําคัญเท่าใดนัก แต่แล้วเมื่อเขาเป็นมองไปเสียทางอื่น เธอก็จับตามองเขาอีกครั้ง สัมผัสได้ถึงความผ่อนคลายที่บังเกิดขึ้นในตัวเขา ไม่เหมือนกับช่วงแรกที่เธอก้าวเข้ามา ที่เจค คัทเตอร์ มีท่าทีตึงเครียดมากกว่านี้
มันออกจะเป็นเรื่องแปลกที่เมื่อเธอพิจารณาใบหน้าของเขาอยู่ในยามนี้ และได้เห็นในสิ่งที่ทําให้เขาดูผิดแผกแตกต่างไปกว่าคนเดิม ตลอดเวลาค่ำที่ผ่านมา เธอก็สังเกตความรู้สึกในสีหน้าของสเตเฟนอยู่ มองเห็นความขึ้งเครียดในดวงตา เมื่อการสนทนาดําเนินไปถึงยุทธวิธีของอปาเช่ สังเกตเห็นริมฝีปากที่เครียดเขม็ง ยามที่เขาแถลงความรู้สึกของตนเองในฐานะนายทหารที่มีตําแหน่งจะต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้โดยตรง
แต่คัทเตอร์ดูเหมือนจะสลัดความทะเยอทะยาน และความวิตกกังวล ที่กระหน่ำอยู่ในจิตใจของคนอื่น ๆ ออกไปได้ มันคล้ายกับเขาได้ตัดสินใจถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในวันเวลาแห่งอนาคตมานานแล้ว ดังนั้นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับเขาในวันพรุ่งนี้ จึงไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง
“รู้สึกว่าทุกคนคาดกันว่า เราจะต้องได้รับความยุ่งยากจากพวกอปาเช่แน่” พวกผู้ชายที่นั่งกันอยู่ในห้องพูดถึงเรื่องนี้กันไม่มากนัก และจะปิดปากเงียบ เมื่อมีผู้หญิงผ่านเข้ามาใกล้ ซึ่งฮันน่าสังเกตเห็นในทุกสิ่งทุกอย่าง
“อันที่จริง มันก็มีกฏอยู่ข้อหนึ่งว่า คนเราคาดหมายอะไรไว้มักจะต้องพบในสิ่งนี้”
“แล้วคุณคิดว่าพันเอกแฮทช์ เขาจะทํายังไงต่อไปล่ะ ส่งทหารออกไปสู้รบกับพวกมันงั้นรึ”
ปลายซิการ์เรืองด้วยแสงจากการเผาไหม้ และค่อย ๆ จางลงเมื่อเถ้าขึ้นมารวมตัวกัน กลิ่นฉุนๆ ของมันอวลอบอยู่ในอากาศ
“เขาก็คงจะทําตามที่ได้รับคําสั่งให้ทํานั่นแหละครับ ก็เขาเป็นทหารนี่”
“แล้วคุณล่ะ จะทํายังไง”
“ก็คงเหมือนกันนั่นแหละครับ” เขานิ่งเงียบไปเป็นครู่ก่อนจะพูดต่อว่า “ผมเป็นคนพูดไม่เก่งหรอกครับคุณนายเวด”
“ตรงกันข้ามเลย ผู้กองคัทเตอร์ คุณเป็นคนที่พูดได้เข้าเรื่องที่สุด” น้ำเสียงของเธอบอกความรู้สึกจริงใจ “เพราะคุณจะพูดแต่สิ่งที่ตรงต่อความจริงเท่านั้น”
“คือผมมีความเห็นว่า การที่เราคาดคิดกันไปนั้นมันไม่ค่อยจะได้ผลอะไรมากกว่า”