ตอนที่ 3 ปรนเปรอ2
ท่ามกลางเสียงโบยตีอันรุนแรงและเสียงกรีดร้องโหยหวนของตานฉง หวงลี่ฟางเพียงปรายตามองสาวใช้คนอื่นเนิบช้า แววตาเรียบนิ่ง แต่กลับทำทุกคนตัวสั่นยิ่งกว่านกกระสาฉ่ำพิรุณ
“คนยิ่งมาก ยิ่งจัดระเบียบยาก ข้าเพียงหวังว่าพวกเราจะอยู่ร่วมกันอย่างเรียบง่ายสงบสุขเท่านี้ ไม่มีใครถูกขายออกไปอีก และหวังว่าจะไม่ได้ยินวาจาร้ายกาจใดเล็ดลอดออกมาให้ระคายหู”
ทุกคนต่างคุกเข่าตอบรับพร้อมเพรียง พรั่นพรึงทั้งกายใจ เดิมทีสตรีผู้นี้มีนิสัยนุ่มนวลแย้มยิ้มอ่อนหวานเป็นนิจ แต่ใครจะคิดว่ายามขัดเคืองใจจะเย็นชาไร้ปรานีปานนี้
ยุ่นเอ๋อร์รีบโขกศีรษะกล่าวนำทุกคนว่า “บ่าวทราบแล้ว ต่อไปจะระมัดระวังมิให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกเจ้าค่ะ”
ทุกคนจึงกล่าวตามพร้อมเพรียง “บ่าวก็ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
หวงลี่ฟางยกยิ้มพึงพอใจพลางโบกมือเบาๆ ให้ทุกคนไปได้
แต่ไหนแต่ไรการที่มีสตรีอื่นหมายปองจ้าวฉีเสวียนจนแทบเก็บกิริยาไม่อยู่มิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด
หลายครั้งที่ตานฉงเผยแววตาสื่อนัยลึกซึ้งต่อจ้าวฉีเสวียนอย่างไม่เกรงใจนางที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา
หลายคราที่ชอบทำทีท่าเรียกร้องความสนใจออกนอกหน้า ทว่ากลับถูกยุ่นเอ๋อร์ลากตัวออกไปเสียก่อนที่จะถูกสังเกตเห็น
กิริยาซ่อนนัยว่าดูแคลนเหยียดหยัน นางก็มิใช่ว่าไม่เคยเจอ เพียงแต่หวงลี่ฟางจำต้องปล่อยไว้อย่างใจเย็นไม่คิดถือสา เพราะส่วนหนึ่งล้วนยอมรับได้ถึงสถานะตนที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา ซึ่งได้รับผลพวงจากเหตุการณ์วิกฤตพลิกผันแห่งชีวิตนำพา
วาจาดูแคลนเกี่ยวกับภรรยาลับ นางไม่ติดใจเอาความเท่าใด
ทว่าเรื่องฝีมือการทำอาหารนั้น ออกจะมากเกินไป
มีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครล่วงรู้คือ นอกจากน้ำแกงเลี่ยงบุตรแล้ว หวงลี่ฟางทำน้ำแกงอื่นไม่เป็นด้วยซ้ำ ทว่านางก็มีความตั้งใจจริงในการฝึกทำอาหารให้จ้าวฉีเสวียนเพื่อเอาอกเอาใจเขา แต่ทุกครั้งกลับเป็นเขาที่พานางเข้าครัว ปิดประตูหน้าต่างเสียมิดชิดทุกบาน แล้วลงมือจัดการจับนางกลืนกินบนโต๊ะในครัวก่อนหนึ่งรอบใหญ่ จากนั้นอาหารทุกจานน้ำแกงทุกถ้วยล้วนเป็นเขาที่ทำให้นางกิน
หวงลี่ฟางรู้มาว่าพระชายาเพ่ยหนิงมีฝีมือการทำอาหาร ชินอ๋องจ้าวเฟิ่งชมชอบฝีมือพระชายาตนมาก แต่นางคิดไม่ถึงว่าจ้าวฉีเสวียนเองก็ชอบทำอาหารเช่นกัน
ดังนั้นการที่ตานฉงบังอาจวิจารณ์เรื่องรสชาติอาหารในสำรับของนางกับจ้าวฉีเสวียน นางย่อมมิอาจอภัย...
ในห้องหนึ่งของคฤหาสน์หนิงเทียน ควันสีขาวจากกำยานม้วนตัวอ้อยอิ่งท่ามกลางความกรุ่นร้อนบนเตียงนอน ชายหญิงไร้วาจาต่อขาน แม้มิได้สนทนาทว่ากลับมิได้เงียบงัน
แสงสว่างจากตะเกียงส่องไปยังเสี้ยวของพวกเขา เห็นเพียงหยาดเหงื่อผุดพราย ความอุ่นซ่านแผ่กำจายผ่านลมหายใจร้อนชื้น
เสียงครวญครางแว่วหวานผสานเสียงหอบหนักเนิ่นนาน
จ้าวฉีเสวียนจับหวงลี่ฟางนอนหงาย เขาแทรกกายลงมา ทั้งร่างทาบทับแนบชิดสนิทสนม
ชายหนุ่มขยับเอวสอบเกิดเป็นจังหวะลึกล้ำยากต้านทานความรัญจวน หญิงสาวทนไม่ไหว กรีดร้องเกร็งกระตุกอีกรอบ
พริบตาคล้ายฟ้าพลิกตลบ เมื่อมือใหญ่จับนางพลิกตัว กระชับเอวให้ยืนขึ้นหันหน้าเข้าหาต้นเสาหัวเตียงโดยมีเขาตามประกบซ้อนแผ่นหลัง การกระแทกกระทั้นในท่านี้เกิดขึ้นครู่ใหญ่ ก่อนที่คนตัวสูงจะจับคนตัวเล็กให้นั่งลงหันหน้าออกไปนอกเตียง บั้นท้ายอ่อนนุ่มบดเบียดบนตักแกร่ง
“อ๊ะ!”
หวงลี่ฟางร้องออกมาได้แค่นั้น กลับถูกจ้าวฉีเสวียนจับสะโพกมนกดลงแนบกับตัวตนแข็งขึง การตอกตรึงแบบซ้อนหลังเกิดขึ้นตรงขอบเตียง เมื่อฝ่ามือร้อนๆ ของคนด้านหลังเอื้อมขึ้นมาบีบเคล้นทรวงอกงาม ความร้อนพลันแผ่ขยาย ร่างบางอ่อนระทวยทว่ากลับขยับโยกเรือนกายตามจังหวะคนด้านหลังอย่างเร่าร้อน
“อา...ซื่อจื่อ”
หญิงสาวให้รู้สึกใกล้หลอมละลายอีกครา
“อืม...ฟางเหนียง”
พริบตาร่างบางพลันถูกจับพลิกกลับให้หันหน้าเข้าหาเขา กลางกายของสองเรายังคงแนบสนิทไร้ช่องว่าง
หญิงสาวเอื้อมมือเกาะบ่ากว้างจิกเล็บลงอย่างต้องการระบายความเสียวซ่าน พลางขยับเอวตามการสอดเสยของเขา
ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนหงายปล่อยให้นางนั่งโยกโยนอย่างรุนแรงตามการควบคุมผ่านฝ่ามือกรุ่นร้อนตรงบั้นท้ายนาง
เงาร่างสองสายพลิ้วไหวอย่างเร่าร้อนแต่งดงามผ่านแสงสว่างจากไฟในตะเกียงนานครู่ใหญ่
หวงลี่ฟางรู้ดีที่สุด ไม่ว่าจ้าวฉีเสวียนจะสุขุมเยือกเย็น ทำตัวลุ่มลึกเป็นวิญญูชนชั้นสูงต่อหน้าผู้อื่นอย่างไร เขาก็มักทำตัวผาดโผนไร้ระเบียบแบบแผนและเอาแต่ใจเหมือนเด็กชายตัวโตที่ดื้อรั้นอย่างร้ายกาจยามมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนางเสมอ
และนางก็ตามใจเขาอย่างร้อนแรงเสมอตลอดมา
[1]ราชนิกุล ผู้มีเชื้อสายของพระมหากษัตริย์, ตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากพระมหากษัตริย์.