ตอนที่ 3 ปรนเปรอ1
ลานเล็กหลังคฤหาสน์หนิงเทียนเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างประตูข้างกับทางเดินแผ่นหินทอดยาวไปถึงเรือนของหวงลี่ฟาง
สวนดอกไม้ห่างจากโรงครัวเล็กน้อย สาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มสองคนกำลังนั่งคุยกัน
คนแรกนามว่าตานฉง คนที่สองนามว่ายุ่นเอ๋อร์
ตานฉงทำเสียงจิ๊ปากเอ่ยอย่างขัดเคืองใจ
“ต่อให้นางเป็นสาวงามแค่ไหน น่าเอ็นดูปานใด สุดท้าย ชายาชินอ๋องซื่อจื่อก็เป็นตำแหน่งสูงศักดิ์สำหรับพญาหงส์เท่านั้น หญิงงามรู้ใจที่ได้เคียงข้างหรือก็แค่สตรีเร้นลับที่ถูกเก็บในซอกหลีบ มิอาจเชิดชูตลอดกาล แค่ภรรยาลับ เหตุใดต้องทำตัวสูงส่งปานนั้น หน้าที่ปรนนิบัติบนเตียงให้ซื่อจื่อ ข้าเองก็ทำได้ดี เจ้าบอกข้าทีว่าข้างามไม่เท่านางที่ใด ไฉนทุกคราที่ซื่อจื่อเข้าคฤหาสน์มา นางต้องให้พวกเราออกมาห่างจากเรือนนอนด้วย”
ยุ่นเอ๋อร์ขมวดคิ้ว มองหน้าตานฉงด้วยแววตาซับซ้อน พลางถามเสียงเบา “พี่ตานฉง คันฉ่องในห้องท่านน่าจะขุ่นมัวเกินไปกระมัง ให้ข้าเอามาขัดให้ดีหรือไม่?”
ไหล่บางของยุ่นเอ๋อร์ถูกตีดังเพียะ “โอ๊ย! ข้าผิดไปแล้ว”
ตานฉงเชิดหน้ากล่าวอีกว่า “อาจเป็นเพราะนางเข้าครัวแสดงฝีมือการทำอาหารให้ซื่อจื่อด้วยตัวเองเป็นแน่ ผู้ใดไม่รู้บ้าง ว่าบุรุษสกุลจ้าวชอบกินข้าวฝีมือสตรีของตน ฮึ! ข้าเคยแอบชิมฝีมือของนางหนหนึ่ง รสชาติไม่เห็นจะดี”
บุรุษสกุลจ้าวล้วนเป็นราชนิกุล[1]
จ้าวฉีเสวียนคือบุตรชายของชินอ๋องจ้าวเฟิ่ง
ชินอ๋องเป็นพระอนุชาแท้ๆ ขององค์จักรพรรดิแคว้นจิน
ดังนั้นการเอ่ยถึงไม่ว่าร้ายหรือดีล้วนเป็นคำกล่าวที่อาจทำให้สาวใช้นางหนึ่งถึงขั้นหัวหลุดจากบ่าได้
ยุ่นเอ๋อร์จึงบิดไหล่หนีห่างตางฉงเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงเบา “รสชาติจะเป็นอย่างไรข้าไม่รู้ แต่ข้าได้ข่าวจากพี่องครักษ์ของซื่อจื่อที่มาครั้งก่อนว่า พระชายาจัดให้มีการแข่งขันการทำอาหารที่จวนชินอ๋อง บรรดาคุณหนูผู้งดงามวัยออกเรือนพากันตบเท้าเข้ามาอวดฝีมือกันคับคั่ง หมายได้รับคำวิจารณ์จากซื่อจื่อ ทว่าซื่อจื่อกลับเลือกมากินอาหารที่นี่”
ตานฉงหันขวับ ดวงตาปานเพลิง “เจ้าก็ดีแต่ขัดวาจาข้า ยุ่นเอ๋อร์ วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้หนัก”
ยุ่นเอ๋อร์มีหรือจะนั่งอยู่ นางลุกขึ้นวิ่งหนีทันที
อาจพูดได้ว่าวันนี้เป็นเคราะห์ร้ายของสาวใช้นามตานฉง เพราะหากหวงลี่ฟางไม่บังเอิญเดินผ่านมาแล้วได้ยินพอดิบพอดี นางก็คงไม่ใส่ใจอันใด
หญิงสาวเดินขึ้นหน้าด้วยสีหน้าเยือกเย็น เผยร่างงามให้สองสาวใช้ได้เห็น และทันทีที่ตางฉงกับยุ่นเอ๋อร์เห็นหวงลี่ฟาง นางทั้งสองก็ชะงักฝีเท้า
“ม่ะ...แม่นางฟางเหนียง” ยุ่นเอ๋อร์รีบคารวะนอบน้อม ก่อนยืนนิ่ง ก้มหน้าหลุบตามิกล้าเงย
ในขณะที่ตานฉงเพียงยอบกายคารวะเร็วๆ คราหนึ่ง ก่อนยืนนิ่ง แต่ลอบกลอกตาเหยียดริมฝีปากอย่างไร้ความเคารพ
หวงลี่ฟางย่อมไม่ถือสาหาความยุ่นเอ๋อร์ผู้ร่วมสนทนา นางเพียงมองตานฉงนิ่ง สีหน้าเรียบเย็น
ตานฉงมองหวงลี่ฟางตรงๆ แต่เพียงวูบเดียวนางก็ต้องรีบก้มหน้าหลุบตา มันเป็นไปตามสัญชาตญาณ มิรู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่ดวงตาคู่งามที่จับจ้องของสตรีตรงหน้าให้ความรู้สึกข่มขวัญอย่างประหลาด
ฟางเหนียงผู้นี้เหตุใดใช้เพียงแววตามองมานิ่งๆ กลับทำให้ผู้อื่นนึกอยากคุกเข่าสยบแทบเท้าปานนี้เล่า?
ตานฉงเริ่มตัวสั่น
ขณะตัวสะท้านงันงก น้ำเสียงเยือกเย็นก็ดังแว่วเข้ามา “พ่อบ้านฉิน พาตัวตานฉงไปยืนรอข้าที่ลานหน้าเรือนใหญ่”
สิ้นเสียงหวงลี่ฟาง ตานฉงก็เบิกตากว้าง
พริบตานางพลันถูกบ่าวชายร่างใหญ่สองคนลากตัวไป แม้ว่านางจะดิ้นรนปล่อยวาจาไม่ยินยอมออกมาเท่าใดก็ล้วนไร้ผล
เมื่อตานฉงถูกพามานั่งคุกเข่าหน้าเรือนหลัก หวงลี่ฟางที่เดินกลับออกมาจากเรือนส่วนตัวเพียงสั่งเสียงเย็นไปทางพ่อบ้าน
“โบยให้หนักแล้วขายออกไปให้พ้นหน้าข้า”
ตานฉงเบิกตาโพลง “ไม่นะ” ขณะถูกจับขึง นางตะโกนลั่น “ข้าเป็นคนของซื่อจื่อ สตรีเช่นเจ้ามีสิทธิ์ใดสั่งลงโทษข้า”
หวงลี่ฟางแย้มยิ้ม ทว่ารอยยิ้มกลับไปไม่ถึงดวงตาคู่งาม “สัญญาซื้อขายของบ่าวไพร่คฤหาสน์หนิงเทียนล้วนขึ้นตรงต่อข้า”
วาจานางเพียงพอต่อสิทธิ์อันชอบธรรมต่อการลงทัณฑ์
จ้าวฉีเสวียนแม้หื่นกระหายและเอาแต่ใจ เรียกร้องทั้งราตรี แต่กลับตอบแทนหวงลี่ฟางอย่างสาสม เขาให้ทั้งเงินและอำนาจในคฤหาสน์แห่งนี้ต่อนางอย่างน่าพึงพอใจ
“รบกวนพ่อบ้านฉินแล้ว”
กล่าวจบเพียงล้วงแขนเสื้อหยิบสัญญาของตานฉงออกมา พ่อบ้านฉินรีบตรงเข้ามารับไว้