ตอนที่ 2 ทางที่เลือกแล้วไม่คิดหวนกลับ3
แม้อีกฝ่ายจะเอ่ยปากบอกชื่อเสียงเรียงนามเปี่ยมไมตรีแล้ว หากแต่หวงลี่ฟางก็ยังไม่รู้จักอยู่ดี
และที่สำคัญ นางมั่นใจว่าในเมืองแห่งนี้ ไม่มีใครรู้จักนาง ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางเป็นใคร
แซ่หวงนี้ แม้แต่จ้าวฉีเสวียนยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
เพราะชอบกลิ่นกายนาง เขาจึงเรียกนางว่าฟางเหนียง[1] มาโดยตลอด
“ข้าแน่ใจว่าเราไม่เกี่ยวข้องกัน” หวงลี่ฟางเอ่ยเสียงขรึม ท่วงท่าเรียบเย็นแลดูสูงส่งดุจนางพญา หาได้มีกิริยาลนลาน เผยซึ่งความขลาดเขลาไม่
หลันฮวาเพ่งพิศแล้วก็ให้รู้สึกพึงพอใจ ทั้งรู้สึกนับถืออีกฝ่ายจากใจจริง หวงลี่ฟางผ่านชีวิตผกผัน เจอวิกฤตชีวิตขนาดนี้ จนกลายเป็นภรรยาลับเยี่ยงสตรีไร้ศักดิ์ศรี ทว่าท่วงทีกลับไม่ทิ้งความสูงศักดิ์ ช่างเปล่งประกายงดงามเลอค่าได้ตลอดเวลานัก
นางยิ้มอ่อนยามเอ่ย “ข้าเป็นคนของรุ่ยเหยียน”
ทันทีที่ได้ยิน หวงลี่ฟางชะงักงัน แววตาวูบไหวฉับพลัน จากกิริยาเรียบเย็น สีหน้าเริ่มเผยโทสะรำไร
รุ่ยเหยียน นามนี้คือคำต้องห้ามสำหรับนางมาแต่ไหนแต่ไร
หลันฮวากล่าวอีกว่า “คราวนี้คงเกี่ยวข้องกันแล้วกระมัง?”
หวงลี่ฟางเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย สุ้มเสียงแม้ราบเรียบทว่ากลับเผยซึ่งแววประชดประชัน
“สตรีผู้นั้นไม่เกี่ยวข้องกับข้ามานานหลายปีแล้ว”
หลันฮวายังคงยิ้ม “แม้ไม่เจอหน้า ทว่าสายสัมพันธ์บุตรมารดาใช่ว่าจะพูดว่าไม่เกี่ยวข้องแล้วจะปฏิเสธได้”
นี่ย่อมเป็นเหตุผลที่อีกฝ่ายรู้จักนางที่เป็นหวงลี่ฟาง
คราวนี้เป็นหวงลี่ฟางบ้างที่หัวเราะเสียงเย็นในลำคอ ฟังดูแปลกแปร่งไม่เข้ากับดวงหน้างดงามอ่อนหวานดุจเทพธิดาเลย เสียงนุ่มนวลแฝงความหนักแน่นเอ่ยทีละคำอย่างชัดเจนก้องกังวาน
“สายสัมพันธ์บุตรมารดาหรือ? มันขาดสะบั้นสิ้นตั้งแต่นางทิ้งข้าไปแล้วล่ะ”
หลันฮวาที่แรกเริ่มยังคงยิ้ม ทว่ายามนี้ใบหน้าเริ่มแข็งค้าง เคยมีผู้ใดตัดขาดมารดาได้บ้าง คำตอบคือไม่
สัมพันธ์บิดาอาจทิ้งร้างห่างเหินไม่สนิทสนมกับบุตรเท่าใด ทว่ากับมารดานางไม่เคยเจอแน่นอน
หลันฮวาสูดลมหายใจสะกดอารมณ์ไม่อยากเชื่อของตนลง นางใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะสืบรู้เรื่องของอีกฝ่ายจนกระจ่าง ดังนั้น ไม่พูดก็คงไม่ได้ ดรุณีผู้หนึ่งสมควรตาสว่างมิใช่ลุ่มหลงมัวเมาบุรุษจนหน้ามืดตามัว ยอมพลีกายให้เขา อยู่กับเขาโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด
หลันฮวาหรี่ตาว่าอีก “วันนี้ข้ามาก็เพื่อรับตัวคุณหนูกลับไป มารดาของท่านกำลังรออยู่ ท่านเป็นถึงทายาทหนึ่งเดียวของนาง ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตอัปยศอดสูจนต้องน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ไม่ต้องเป็นเพียงสตรีข้างกายผู้ใดอย่างไร้ฐานะ ไม่ต้องเป็นแค่เครื่องมือระบายอารมณ์ให้บุรุษเช่นนี้เจ้าค่ะ”
วาจาเถรตรงอย่างไม่ถนอมน้ำใจคนฟังเช่นนี้ หวงลี่ฟางเพียงสดับรับฟังด้วยหัวใจสงบดุจทะเลลึกไร้คลื่นลม
เรื่องของนางคือความลับ ไม่มีใครรู้ ตัวตนแท้จริงของนางแม้แต่จ้าวฉีเสวียนยังไม่รู้เลย
หลันฮวาผู้นี้กล้ามากที่บังอาจสืบจนล่วงรู้ได้
หวงลี่ฟางผินใบหน้าหวานละมุนหันไปมองนอกหน้าต่าง ตรงนี้คือชั้นสอง สิ่งที่เห็นคือต้นพลัม
ตามกิ่งก้านมีดอกน้อยๆ กำลังผลิคล้ายเด็กทารกแรกเกิด มีบางดอกที่เติบโตบ้างแล้วทว่ากลับถูกหิมะปกคลุมทับถมจนมิด แต่ใบที่ใหญ่กว่ากิ่งไม้ที่ใหญ่กว่ายื่นไปด้านหน้ารับดวงตะวันที่แสงแดดกำลังทอดยาวลงมาค่อยๆ ชะล้างเปิดทาง
บางครั้งหวงลี่ฟางมักชอบเปรียบเปรยชีวิตคนเหมือนต้นไม้เหล่านี้ ยอดอ่อน ดอกอ่อน กิ่งก้านใบที่กำลังเติบใหญ่ ล้วนต้องการได้รับการปกป้อง ทว่ากลับถูกหมางเมินให้เติบโตเอง
ภาพนางตอนอายุห้าขวบพลันผุดวาบขึ้นในห้วงคะนึงแห่งความทรงจำอันเลวร้าย
เด็กหญิงวิ่งร่ำไห้ร้องเรียกมารดาท่ามกลางสายตาเวทนาของบ่าวไพร่ และสายตาเจ็บช้ำแฝงโทสะยากระบายของบิดา
‘ท่านพ่อ ท่านแม่หายไปทางใด เหตุใดไม่กลับมา...’
‘หยุดร้องไห้ได้แล้วฟางเอ๋อร์ แม่เจ้าทิ้งเราพ่อลูกไปแล้ว ไม่มีเหตุผลต้องเรียกร้องการกลับมาของนาง’
‘ท่านพ่อ เพราะอันใด ไฉนท่านแม่จึงจากไป’
‘ฟางเอ๋อร์ พ่อไม่ดีเอง พ่อไร้ความสามารถ บุรุษผู้นั้นดีกว่าพ่อทุกอย่าง’
ขุนนางล้วนสำคัญที่เส้นสายสร้างสัมพันธ์ทางการเมือง มารดารู้ดีและรับได้ในจุดนี้มาตลอดตั้งแต่ก่อนแต่งงานด้วยซ้ำ เพียงแต่ด้วยกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผนของตระกูลขุนนางราชสำนักมีมากเกินไป กดขี่และจำกัดอิสระอิสตรี มิไยดีกระทั่งความคิดเห็น
สุดท้าย เมื่อมีบุรุษอื่นที่ดีกว่า มอบชีวิตดั่งวิหคบินถลา มิใช่เป็นผืนฟ้ารับบัญชาจากสรรค์เพียงครอบคลุมภรรยาที่เป็นผืนดินให้กำเนิดเผ่าพันธุ์ แต่กลับเป็นบุรุษที่สามารถมอบผืนฟ้าให้ภรรยาโบยบินได้อย่างอิสรเสรีไม่มีจำกัด มารดาจึงละทิ้งได้แม้กระทั่งบุตรี ที่ยามนั้นอายุเพียงห้าปี
เพื่อไปอยู่กับบุรุษอื่นถึงขั้นทิ้งให้เด็กหญิงตัวน้อยบอบบางที่ไร้ประสาต้องอยู่กับแม่เลี้ยงจอมเสแสร้งแกล้งมารยาทำตัวใจดีแบบจอมปลอม
เด็กน้อยต้องอยู่กับสตรีที่มักแสดงออกถึงความริษยาชิงชังทุกครั้งที่มีโอกาส
ต่อหน้าบิดาทำดีสารพัดไร้ที่ติกับนางแต่ลับหลังกลับชัดเจนถึงอาการรังเกียจเดียดฉันท์
‘เหตุใดแม่เจ้าไม่พาเจ้าไปด้วย ไฉนต้องทิ้งเจ้าไว้ให้พ่อเจ้าต้องทนมองใบหน้าอันงดงามนี้ตลอดเวลา เมื่อไรพ่อเจ้าถึงจะลืม ยามใดพ่อเจ้าถึงจะรักข้า นังเด็กบ้า! ข้าเกลียดเจ้า เกลียด...’
เด็กหญิงผู้หนึ่งต้องอดทนกับสิ่งใดกัน นางคือเด็กที่ถูกทิ้ง และถูกตอกย้ำว่าคือตัวปัญหา ใช่หรือไม่?