2
เช้าที่สดใสที่ท้องพระโรงต้าหยางเต็มไปด้วยความผ่อนคลายสบายใจ เพราะท่านแม่ทัพแห่งแว่นแคว้นต้าหยางที่อยู่ชายแดนทางเหนือรบกับเผ่าเติร์กที่มารุกรานจนพวกมันตายราบคาบ ฮ่องเต้นั่งบัลลังก์มังกรในฉลองพระองค์สีเหลืองทองออกว่าราชการกับเหล่าขุนนางน้อยใหญ่
“เราดีใจยิ่งนัก ที่แม่ทัพใหญ่อย่างเซียวอี้ปราบเผ่าเติร์กได้” เมื่อคืนเพิ่งได้รับพิราบสื่อสารมา กระนั้นฮ่องเต้จึงดีพระทัยไม่น้อย
“กระหม่อมก็ดีใจพ่ะย่ะค่ะ ที่ทางชายแดนเหนือกำลังสงบ” เหล่าขุนนางน้อยใหญ่เอ่ยขึ้นตาม ๆ กัน
“กระหม่อมคิดว่า สมควรให้ท่านแม่ทัพเซียวกลับมาที่เมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางฝ่ายซ้ายเอ่ยขึ้น เนื่องจากขุนนางฝ่ายซ้ายเป็นคนของเจาอ๋องมาก่อน
“เราไม่สามารถให้เขากลับมาได้ เซียวอี้ นับเป็นแม่ทัพใหญ่ที่ให้ประจำการชายแดนเหนือ ตอนนี้เขายังไม่ถึงเวลาที่จะต้องกลับมาที่เมืองหลวง”
“พระองค์ควรจะปูบำเหน็จให้เขาพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางอีกท่านเป็นคนเสนอมา
ดวงเนตรของพระองค์สว่างไสวเล็กน้อย “เราจะมอบสมรสพระราชทานให้เซียวอี้ ปีนี้เซียวอี้อายุยี่สิบห้าปียังมิได้ฮูหยินหรืออนุ”
ไม่นานนักท้องพระโรงก็พลันเลิกประชุม เหล่าขุนนางต่างทยอยกันออกจากวังหลวง อู่ตี้ยิ้มอย่างมีเลศนัย สั่งให้ขุนนางเฒ่าไปเรียกใต้เท้าปันกับใต้เท้าผู้ตรวจการมาที่ห้องทรงพระอักษรโดยด่วน…
โครม!!!
ซ่า!!!
น้ำเย็นสาดเข้าไปที่เรือนร่างสตรีอรชรอย่างปันเสี่ยวหรานที่นอนหลับหน้าศาลบรรพชน นางนั้นพลันลืมตาขึ้นมา
“พวกเจ้าจะมากไปแล้วนะ” ปันเสี่ยวหรานมองดูปันเสี่ยวหงส์กับสาวใช้แกล้งนาง กล้าดีอย่างไรมาทำกับนางเยี่ยงนี้
“พี่ใหญ่ ข้าหวังดี เห็นท่านยังมิตื่นกลัวท่านพ่อกลับมาเห็นท่านนอนที่หน้าศาล มิได้นั่งคุกเข่า จะโดนเพิ่มโทษเอาได้ ดังนั้นข้าเลยปลุกท่าน”
ปลุกบ้าบออันใด ถึงขนาดเอาน้ำมาสาด
“ความหวังดีของน้องรอง กล้ามิได้อยากรับเอาไว้” ปันเสี่ยวหรานชิงชังปันเสี่ยวหงส์ยิ่งนัก
“ข้าหวังดีจริง ๆ” ริมฝีปากแดงเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม
“คราหลังไม่ต้อง”
“เอาล่ะในเมื่อพี่ใหญ่ตื่นแล้ว ข้าก็ขอตัวก่อนแล้วกัน” ในระหว่างที่ปันเสี่ยวหงส์หมุนเรือนกายจะเดินออกไปนั้นได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
คิดว่าแกล้งนางแล้วจะออกไปง่าย ๆ อย่างนั้นรึ ปันเสี่ยวหรานผลิยิ้มที่มุมปากอย่างเล็กน้อย
“กรี๊ด!!!” ร่างของปันเสี่ยวหงส์ล้มลงหงายท้อง จนก้นกระแทกที่พื้นอย่างแรง สาวใช้เห็นเหตุการณ์ไม่คิดว่าคุณหนูรองจะลื่นพื้นล้มลงอย่างไม่เป็นท่า
“น้องรองเป็นอย่างไรบ้าง” ปันเสี่ยวหรานแกล้งถามหน้าตาเฉยทั้งที่นางเป็นคนเหยียบชายกระโปรงของปันเสี่ยวหงส์อย่างแรง จนนางลื่นล้ม
สาวใช้ประคองปันเสี่ยวหงส์ขึ้นมา “นังสารเลว เจ้าแกล้งข้า ข้าจะตบสั่งสอนเจ้า”
“น้องรอง เจ้ากล่าวหาข้าได้อย่างไร ในที่นี้มีใครเห็นบ้าง ว่าข้าแกล้งเจ้า ข้าวกินส่งเดชได้ แต่วาจามิอาจกล่าวส่งเดชได้ อีกอย่างข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า เจ้าเป็นผู้เยาว์ ใช้วาจากับข้าเยี่ยงนี้ได้อย่างไร เกิดผู้อื่นมาได้ยินเข้า เขาจะหาว่าคนสกุลปันมิสั่งสอนเจ้า ที่ก้าวร้าวกับผู้ใหญ่” ปันเสี่ยวหรานร่ายยาวอย่างผู้มีชัยชนะ
“เจ้า เจ้า ข้าจะฟ้องท่านพ่อ” จากนั้นเสียงกรีดร้องก็พลันดังขึ้น ปันเสี่ยวหรานยังมือขึ้นปิดหูไว้ เพื่อป้องกันมิให้เสียงสุนัขเข้าหูของนาง เหล่าสาวใช้เหงื่อตกพลั่ก ๆ ไปตาม ๆ กัน
“เกิดอะไรขึ้น” ฮูหยินใหญ่และฮูหยินรองสาวเท้าเข้ามาในห้องบรรพชนพร้อมกัน ฮูหยินใหญ่มองบุตรสาวของนางที่มอมแมมราวกับว่าไปตกน้ำที่ไหนมา ถึงได้ตัวเปียกถึงเพียงนี้
“หรานเอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้น”
“น้องรองเอาน้ำมาสาดข้า”
“หงส์เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงกรีดร้อง”
“เพราะพี่ใหญ่แกล้งข้า เหยียบชายกระโปรง ทำให้ข้าลื่นล้มเจ้าค่ะ ท่านแม่” ปันเสี่ยวหงส์เอ่ยฟ้องมารดาของนาง
“แต่เจ้าทำร้ายพี่สาว ของเจ้าก่อนนะ” ฮูหยินใหญ่เอ่ยขึ้น
“แต่ข้าหวังดีนะเจ้าคะ แม่ใหญ่ ข้ากลัวท่านพ่อมาเห็นพี่ใหญ่นอนที่ศาล จะลงโทษเพิ่ม ข้าจึงปลุกนางเจ้าค่ะ”
“ปลุกโดยการเอาน้ำมาสาดนี่นะ” ปันเสี่ยวหรานเบื่อจริง ๆ ความหวังดีประสงค์ร้าย
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าเหยียบชายกระโปรงน้องรองแล้ว ถือว่าหายกันแล้วกัน” ฮูหยินรองเอ่ยขึ้น
“แม่รอง ข้าไม่ได้ทำร้ายน้องรอง”
ในระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายกำลังถกเถียงกันอยู่นั้น บ่าวชายสาวเท้าวิ่งเช้ามาในห้อง รายงานว่าขันทีจากวังหลวงมีราชโองการมาที่คนสกุลปัน ให้ออกไปรับราชโองการด่วน ทั้งสี่คนจึงได้หยุดปาก มุ่งหน้าไปที่หน้าจวน
พวกนางทั้งสี่คนนั่งคุกเข่ารับราชโองการ ขันทีเฒ่าปรายตามองคุณหนูนางหนึ่งเนื้อตัวเปียกปอนราวกับตกลงไปในบ่อน้ำที่ไหนมาสักแห่ง
“ผู้ใดคือคุณหนูใหญ่ ปันเสี่ยวหราน” ขันทีเฒ่าพลันเอ่ยขึ้น
ปันเสี่ยวหรานเอ่ยขึ้น “ข้าคือปันเสี่ยวหรานเจ้าค่ะ”
“ปันเสี่ยวหรานรับราชโองการ”
ปันเสี่ยวหรานอึ้งงัน ฮ่องเต้มีราชโองการอะไรมาให้นางอีก นางไปทำอะไรให้เบื้องบนขุ่นหมองเคืองใจกันแน่
“คุณหนูใหญ่ปันเสี่ยวหรานเป็นบุตรีที่งดงามเพียบพร้อม ในต้าหยาง เป็นกุลสตรีที่เป็นแบบอย่าง แก่คุณหนูทั้งหลาย มีความกตัญญูอย่างมาก กระนั้นจึงได้มีสมรสพระพระราชทาน ให้แก่ ท่านแม่ทัพเซียวอี้แห่งแว่นแคว้น”
สมรสพระราชทาน นางนี่นะเป็นกุลสตรีที่ดีพร้อม ทุกอย่างที่ขันทีเอ่ยมาตรงกันข้ามหมดเลยเสียด้วยซ้ำ
“รับราชโองการ” ราชโองการอยู่ในมือนางแล้ว เหล่าขันทีได้จากไป แต่ปันเสี่ยวหรานนั่งนิ่งราวกับหิน ฮูหยินใหญ่และคนในจวนตกใจไม่น้อย การแต่งงานกับท่านแม่ทัพเซียวอี้ แสดงว่าบุตรสาวของนางต้องไปที่แถบชายแดนเหนือที่เหน็บหนาว ปัญเสี่ยวหรานเป็นลมในอ้อมอกมารดา
“หรานเอ๋อร์”
เรือนหิมะ เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ หลังจากที่ปันเสี่ยวหงส์กับฮูหยินรองกลับมาที่เรือน พลันทายาให้บุตรสาวเสร็จ ทั้งคู่ไม่คิดเลยว่าฝ่าบาทจะส่งตัวปันเสี่ยวหรานไปที่หนาวเย็นขนาดนั้น
“ท่านแม่ ข้าสาแก่ใจยิ่งนัก ที่นังปันเสี่ยวหรานถูกเนรเทศแต่งงานกับท่านแม่ทัพที่แดนไกลขนาดนี้ ที่นั่นเหมาะกับมันมาก” ปันเสี่ยวหงส์เอ่ยขึ้นพร้อมยกจอกน้ำชาขึ้นมาจิบ ฮูหยินรองมองบุตรสาวแล้วอมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้ากลัวว่า นางจะมาแย่งตำแหน่งหญิงงามในเมืองต้าหยางกับเจ้าล่ะสิ ถึงนางจะงามแต่ทว่า เพลงพิณหมากล้อม นางก็ไม่ได้เรื่อง อีกทั้งความรักนั้น บิดาก็รักแต่เจ้า หาได้รักนางไม่”
“ข้าไม่อยากเห็นนางในจวน มันรกหูรกตาข้า” ปันเสี่ยวหงส์ไม่ชอบปันเสี่ยวหรานก็แล้วกัน ยิ่งมันไปที่แห่งนั้นห่างไกลความเจริญยิ่งดี…
“ไม่นะ ไม่” ปันเสี่ยวหรานลืมตาขึ้นมา ดวงหน้างามผุดด้วยเม็ดเหงื่อ นางกวาดสายตามองไปรอบๆพบมารดากับเสี่ยวฮัวยืนมองนาง
“ในที่สุดเจ้าก็ตื่นเสียที” คนเป็นมารดาโล่งอก บุตรสาวเป็นลมยามบ่ายจนถึงยามเย็นค่อยตื่น ฮูหยินใหญ่ไม่คิดว่า ราชโองการแต่งงานครั้งนี้จะเป็นบุตรสาวของนาง เนื่องจากสตรีในต้าหยางมีตั้งมากมายทำไมไม่เป็นคนอื่นเล่า เหตุใดต้องเป็นบุตรสาวของนางด้วย ที่ทางแถบชายแดนเหนือเป็นเหน็บหนาว อีกทั้งยังอดอยากด้วย แล้วปันเสี่ยวหรานจะอยู่ได้อย่างไร เรื่องนี้ต้องเป็นเพราะท่านโหวแน่ ๆ
“ท่านแม่ ข้าไม่อยากแต่งงานเจ้าค่ะ” ปันเสี่ยวหรานเคยได้ยินสมญานามของแม่ทัพ เซียวอี้ ที่เป็นแม่ทัพหน้าหยกยิ้มไม่ค่อยเป็น อีกทั้งสังหารศัตรูอย่างเหี้ยมโหด นางไม่ต้องการสามีเยี่ยงนั้น
“แม่รู้ แม่จะหาทางคุยกับท่านพ่อเจ้า” ฮูหยินใหญ่โอบกอดบุตรสาว เป็นการให้กำลังใจ
เรือนใหญ่ในคืนนั้น ฮูหยินใหญ่ไปหาท่านโหว เอ่ยถามเรื่องราวว่าเหตุใดคนที่ถูกแต่งไปที่ที่เหน็บหนาวไยต้องเป็นบุตรสาวของนางด้วย
ท่านโหวนั่งมองฮูหยินใหญ่ของเขา
“หรงเหอ นี่คือความประสงค์ของฝ่าบาท ข้ามิอาจขัดราชโองการได้” ปันจิงเอ่ยขึ้นหวนคิดเมื่อยามเช้าฝ่าบาทเรียกเขากับใต้เท้าผู้ตรวจการเข้าพบในห้องทรงพระอักษร ที่ให้บุตรสาวเขากับบุตรสาวกับใต้เท้าผู้ตรวจการแต่งพร้อมกัน นั้นมีเหตุผล ท่านโหวรักปันเสี่ยวหงส์มากมิอาจให้นางไปแต่งในที่หนาวเย็นได้ จึงเอ่ยชื่อบุตรสาวคนโตแทน
“แต่ท่านควรจะให้ปันเสี่ยวหงส์ไปแทนได้นี่” ฮูหยินใหญ่เอ่ยขึ้น หรือเพราะว่าปันเสี่ยวหรานมิใช่…
“หรงเหอ เจ้าก็รู้เพราะเหตุใดถึงเป็นบุตรสาวเจ้า เอาล่ะอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้เลย”
ผู้ใดก็รักบุตรสาวของตนทั้งนั้น เหตุใดจะต้องให้ปันเสี่ยวหงส์ไปลำบากด้วยเล่า ท่านโหวคิดในใจ ฮูหยินใหญ่มองหน้าสามี นางยิ้มเย็นก่อนจะสาวเท้าออกไป นางไม่สามารถช่วยบุตรสาวของนางได้เลยด้วยซ้ำ…
ยามค่ำคืนที่หนาวเย็นด้านนอกเต็มไปด้วยหิมะที่ขาวโพลนขึ้นมา ในกระโจมที่มีแสงสว่าง บุรุษเรือยกายหนายังมิได้นอน เขานั่งที่เก้าอี้ ดื่มสุราพอให้ร่างกายได้อุ่นขึ้นมาบ้าง เขาเพิ่งปราบเผ่าเติร์กได้สำเร็จ รอวันที่จะกลับไปที่เมืองหลวงต้าหยาง
“เรียนท่านแม่ทัพ พิราบสื่อสารจากเมืองหลวงขอรับ” นายทหารยื่นกระดาษแผ่นเล็กให้ท่านแม่ทัพเซียวอี้
ชายหนุ่มคลี่กระดาษเปิดอ่าน สายตามองตัวอักษร หัวใจนั้นแทบหยุดเต้น ทำไมมิให้เขากลับเมืองหลวง แต่ให้เขาแต่งกับสตรีตั้งสองคน บุตรสาวใต้เท้าผู้ตรวจการ กับบุตรสาวท่านโหว มุมปากหนายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย กระดาษน้อยนั้นถูกขยำจนแหลกคามือ สิบปีแล้วที่ต้องอยู่ทางชายแดนเหนือที่หนาวเย็น ไม่มีโอกาสได้กลับบ้านเกิดตัวเอง ฮ่องเต้ช่างระวังตัวยิ่งนัก สกุลปันอย่างอยากแต่งกับเขา นางผู้นั้นเขาจะทำให้ตกนรกทั้งเป็น…