3.หอแดงเกี่ยวใจ 2
อู๋หยางจี๋เดินจนเหงื่อชุ่มทั้งตัว กระทั่งมาถึงด้านตะวันตกของเมือง ซึ่งไม่ใช่ย่านเศรษฐกิจ แถมบ้านหลายหลังปิดเงียบ มีผู้คนสัญจรบนถนนนับจำนวนได้ อีกทั้งส่วนมากเป็นขอทาน ที่นั่งๆ นอนๆ ตามมุมถนน
ดวงตาเรียวเห็นว่ามีเรือนหลังเล็กติดป้ายให้เช่า ผิดแต่เรือนไม้หลังนี้อยู่ด้านข้างคฤหาสน์แดงที่ตั้งตระหง่านราวกับภูเขา ดูสงบ วังเวง และทรงพลังอย่างประหลาด
ร่างสูงใหญ่เดินวนอยู่ราวครึ่งชั่วยาม หลังจากว่าจ้างเด็กเดินข่าวไปแจ้งเจ้าของเรือนดังกล่าว และผู้มาพบอู๋หยางจี เป็นชายวัยกลางคนท่าทางใจดี มีนามว่าตาเฒ่าเกา
“คุณชายอู๋ เรือนหลังนี้ถึงจะเก่าอยู่สักหน่อย แต่ยังใช้การได้ดี อีกทั้งเงียบ อากาศดี เหมาะกับการท่องตำรา ข้าลดราคาลงเกือบครึ่ง นี่หากไม่ใช่เห็นว่าเป็นคนจิตใจดี ข้าคงไม่ยื่นมือไปช่วยเหลือ” ตาเฒ่าเกาเอ่ย ท่าทางไร้เล่ห์เหลี่ยม มิหนำซ้ำยังเสนอให้เขาไปกินข้าวเย็นที่บ้านทุกวันในช่วงที่เช่าเรือนไม้หลังเก่านี้ แต่ชายหนุ่มปฏิเสธเพราะไม่ยากรบกวนผู้ใด อีกทั้งตาเฒ่าเกาท่าทางดูคะยั้นคะยออู๋หยางจีให้ไปที่บ้านของตนเหลือเกิน พอไถ่ถามอยู่สักพักจึงรู้ว่าชายสูงวัยมีหลานสาวผู้หนึ่ง นางชอบเขียนอ่านอยู่บ้าง แต่มีความฝันอยากเป็นมือปราบหญิง สองสามปีที่ผ่านมา นางกลับไปร่ำเรียนวิชาจากพวกนักพรตบนเขา จากนั้นก็เริ่มมีความคิดผิดแผกคนทั่วไป เพราะรับปราบภูตผีวิญญาณ รวมถึงตั้งโต๊ะขายเครื่องรางของขลัง ว่าไปก็ผิดกฎหมายของเมืองฝูหานอยู่มิน้อย
“อาถิง เป็นหลานสาวคนเล็กของข้า มารดานางเสียไปตั้งแต่ยังเล็ก ส่วนบิดาหายสาบสูญในสงครามเมื่อห้าปีก่อน มีชีวิตที่น่าสงสาร หากคุณชายอู๋ไม่รังเกียจ ข้าอยากให้รู้จักกันไว้”
อู๋หยางจีมองเจตนาอีกฝ่ายออก ตาเฒ่าเกาคงต้องการแนะนำ ‘ถิงมี่’ หลานสาวของตนให้กับเขา
“ท่านผู้เฒ่านับว่ามีความเอื้อเฟื้อ แต่เกรงว่าช่วงนี้ ข้าควรทบทวนตำราให้มาก จุดประสงค์ที่เดินทางไกลครั้งนี้ก็เพื่อรับใช้ประชาชน” อู๋หยางฉียิ้มและคำนับชายสูงวัย ก่อนเปิดประตูเข้าไปด้านใน สภาพโดยรวมถือว่าใช้ได้ กระนั้นมันออกจะทรุดโทรมอย่างที่ตาเฒ่าเกาออกปาก และสิ่งที่ประหลาดใจต่อเขาคือเรือนหลังนี้ อยู่ติดกับคฤหาสน์ร้าง และมีหออิฐสีแดงตั้งสูงโดดเด่น
“หอแดงหลังนั้น” เขามองผ่านรั้วเตี้ยของเรือนไม้ที่กำลังจะเช่าอาศัย เห็นว่ามีอาคารหลังใหญ่สีแดงเข้ม มันดูใหญ่น่าเกรงขามและวังเวงมิน้อย
“อ่อ หอแดง เป็นเรือนแต่งงานของคนสกุลหลี่ ถูกปล่อยร้างมาได้เกือบสามปีแล้ว เท่าที่ข้าทราบ ผู้ตรวจการคนก่อน ถูกข้อหาสมคบคิดกับคนนอกกำแพงเมือง แล้วตั้งตัวเป็นกบฏ จึงถูกทางการตัดสินโทษ เนรเทศไปอยู่ทางใต้ทั้งครอบครัวหมด รวมถึงเจ้าสาวของเขาที่เพิ่งแต่งงานด้วย”
หัวคิ้วเข้มๆ ของอู๋หยางจีขมวดเล็กน้อย เขาจะสนใจเรื่องที่อีกฝ่ายกล่าว แต่หารู้ไม่ว่าตาเฒ่าเกาไม่ได้เล่าความจริงทั้งหมด!
“น่าแปลกใจ เรือนหลังใหญ่โอ่โถงขนาดนั้น หากปล่อยให้คนเช่าคงสร้างกำไร มิน้อย”
“เรื่องนี้ข้าไม่รู้แน่ชัด อย่าไปสนใจเลยคุณชายอู๋”
อู๋หยางจีพยักหน้าอย่างเข้าใจ เป็นตอนนั้นที่มีแมวดำโผล่พรวดมา มันกระโดดขึ้นไปอยู่บนหัวตาเฒ่าเกา ดูเหมือนจะทำร้ายเขาเสียด้วย แต่ชายหนุ่มมือไว เขาจับด้ามไม้กวาดที่วางอยู่แถวนั้น ใช้ขู่มัน แมวดำจึงกลัว ก่อนจะหายตัวไปอย่างรวดเร็ว
“ท่าทางร้ายไม่เบาเลยนะลุงเกา”
“ฮ่าๆ ๆ คงหิว แถวนี้ไม่มีใครเลี้ยงสัตว์กันหรอก มันคงหลงทางมา”
“แต่มันดูเหมือนจะอดโซมาหลายวัน ถ้าข้าไล่ไม่ทัน ลุงคงถูกกัดแน่ๆ”
ชายสูงวัยขมวดคิ้ว ท่าทางดูเหมือนจะหงุดหงิดและเริ่มหัวเสียขึ้นมา
“หมู่บ้านข้าเชื่อกันว่าแมวดำ เป็นตัวแทนของวิญญาณร้าย” อู๋หยางจีเอ่ยอย่างลอยๆ
ตาเฒ่าสายหน้าไม่เห็นด้วย เขากล่าวเสียงกระด้างขึ้น
“โถ คุณชายคนดีผีคุ้ม ที่ไหนล้วนมีคนตายทั้งนั้น แต่ถ้าท่านไม่ชอบใจ ลองหาเรือนหลังใหม่ดูเถิด ข้ามีงานต้องทำอีกมาก” เจ้าของบ้านว่าแล้วก็ทำทีจะคืนเงินให้อู๋หยางจี
“ใจเย็นๆ ลุงเกา ข้าพูดเหลวไหลไปเช่นนั้น”
ชายชราถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และเอ่ยว่า “เอาล่ะ ตกลงคุณชายชอบใจที่นี่ เราไปลงนามในสัญญาเช่ากัน ขาดเหลือสิ่งใดท่านก็จดรายการไว้ และส่งให้เด็กนำไปให้ข้าที่ร้าน เดี๋ยวจะให้คนจัดหาให้”
หลังลงนามในสัญญาเช่า อู๋หยางจีขอบคุณเจ้าของบ้านเช่าอีกครั้ง กระทั่งเข้าได้อยู่เพียงลำพัง ก็รู้สึกจิตใจผ่อนคลาย แม้เรือนหลังนี้จะเงียบเหงา แต่เสียงลม เสียงนกร้องที่ดังเป็นระยะๆ ทำให้เขารู้สึกมีเพื่อน ร่างสูงโปร่งบิดตัวไปมาเพื่อคลายความเมื่อยล้า จากนั้นจึงเตรียมไปอาบน้ำ เมื่อเขาปลดเสื้อผ้าออกก็ก้าวลงไปในถังไม้ที่น้ำอุ่นเตรียมไว้รอ เป็นตอนนั้นที่ขนบนหลังต้นคอเขาลุกซู่ขึ้น ด้วยเสียงแมวร้องดังอยู่ไม่ไกล เสียงนั้น ฟังคล้ายเด็กทารกร้องหามารดา