5
นับจากวันนั้นจนวันนี้ก็ผ่านมาห้าวันแล้ว ยิ่งคิดนันทภัคก็ยิ่งฉุนกับคนที่เพื่อนบอกว่างานดี หล่อนยกมือเท้าเอวทั้งที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ สายตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจหลังเพื่อนสนิทบอกว่าไม่ได้ติดต่อกับพ่อหนุ่มคนนั้นเลยตั้งแต่วันที่เขาไปส่งถึงคอนโด รวมถึงบุณยากรที่เป็นตัวตั้งตัวตีเค้นสมองหาความคิดดี ๆ ทั้งปิ่นปักษาที่บากหน้าไปฝากเพื่อนกลับบ้านกับผู้ชาย โสรยาเองก็ได้แต่ส่ายหน้าให้กับความ ‘ไม่เป็นงาน’ ของเพื่อนที่ทำเหมือนก๋ากั่นไม่มีความกลัวในจิตใจ แต่พอเอาเข้าจริงกลับหงอเหมือนลูกหมา
“สุดท้ายแล้วมึงจะเป็นแค่ผักกาดดองใช่ไหม” นันทภัคอดออกปากไม่ด่าไม่ได้แล้ว
“ก็บอกเขาแล้วว่าสะดวกให้เลี้ยงข้าววันไหนก็ให้โทร.มา”
“แล้ว”
“เขายังไม่ติดต่อมาเลยไง ก็แปลว่าไม่สะดวกหรือเปล่า”
“ไม่ ๆ” บุณยากรรีบเบรก “อันนี้มันปลายเหตุ มันผิดตั้งแต่อ้อยเข้าปากมึงแต่มึงเลือกที่จะคายแล้ว”
“ขอค้าน” วรัสยายกมือประท้วงราวกับกำลังคุยเรื่องสำคัญกันอยู่ ดูท่าทางจริงจัง “ที่พวกมึงเห็นกับที่เกิดขึ้นจริงมันต่างกันมาก ตอนขึ้นรถไปด้วยมึงก็คิดไปต่าง ๆ นานาได้แหละ แต่สถานการณ์จริงคือพี่เขาก็เงียบ ๆ ไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมาก ส่วนมากก็เป็นกูที่พูดไปเรื่อย แล้วพอมาถึงคอนโดเขาก็แลกเบอร์ไว้ติดต่อ ไม่ได้มีท่าทีว่าจะกินกูแต่อย่างใด มึงเข้าใจสถานการณ์ไหมว่ามันไม่ได้เอื้อต่อการไปต่ออะ กูก็ไม่ค่อยอยากด้วย แบบนี้อะดีแล้ว นี่ลองวันนั้นได้ไปแล้วอยู่ ๆ เขาหายดิ ไม่คลั่งตายหรอ ไหนจะเรื่องมิว นี่มาเรื่องใหม่อีก”
ปิ่นปักษายอมอ่อนลงให้เพื่อนเมื่อได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น “เออ ๆ แล้วแต่มึงจะตัดสินใจเลย แต่อดีตก็อดีต ตอนนี้ทำไมไม่โทร.ไปหาเขาบ้างล่ะ”
“ก็เห็นเขาว่าไปทำงาน น่าจะยุ่ง ไม่อยากกวน”
“เอาโทรศัพท์มา” จะว่าขอก็ไม่ใช่ จะว่าบังคับก็ไม่เชิง แต่ท่าทีของโสรยาที่ยื่นมือมาตรงหน้าก็เต็มไปด้วยความกดดัน วรัสยาตั้งท่าจะปฏิเสธทว่าเพื่อนดันพูดเสียงแข็ง “มึงจะเอาไหมผัวใหม่น่ะ ไม่เอากูเอานะ”
“เอ้า นังนี่”
“เร็ว ๆ” แล้วโทรศัพท์เครื่องบางก็ตกไปอยู่ในมือของคนที่มีท่าทีฉุนเฉียวอย่างง่ายดาย “ก็แค่นี้ จะต้องทำให้มันยากเย็น รหัส” วรัสยายอมเอ่ยปากบอกแต่โดยดี “ชื่ออะไรนะ”
“พี่จัด”
“เออ พี่ไม่จัดน้องจัดแล้วนะ เอาไป”
“มึงอ่า” หญิงสาวที่รับโทรศัพท์มาจากเพื่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้เอาแต่เบ้หน้าเหมือนเด็กทารกร้องกินนม ซ้ำยังส่งเสียงเรียกยานคางอย่างขอความช่วยเหลือ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร และทั้งสี่ก็คิดว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่คือการช่วยเพื่อนจึงเมินเฉยต่อคนที่เรียกร้องความเห็นอกเห็นใจ
(สวัสดีครับ) เสียงทุ้มต่ำดังมาจากปลายสาย ลมหายใจของหญิงสาวสะดุดกึก (น้องกาด?)
“คะ”
(เห็นเงียบ นึกว่าไม่ได้ยิน)
“เปล่าค่ะ ได้ยิน แค่...” เธอรู้สึกเหมือนจะไม่มีปัญญาต่อบทสนทนาได้จึงหันไปขอความเห็นจากสี่สาวว่าควรชวนคุยเช่นไรดี เพราะถ้าให้เธอคิดเองคงได้แต่เงียบและมันจะถูกจบลงในไม่ช้านี้อย่างแน่นอน ก็เล่นเจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงแล้วห่างกันไปตั้งหลายวัน มาคุยกันอีกทีก็ไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้าเลยด้วยซ้ำ ในตอนนั้นเองที่บุณยากรขยับปากว่า ‘อยู่ไหน’ วรัสยารีบพยักหน้าอย่างเข้าใจ “พี่อยู่ไหนเหรอคะ”
(นครนายกครับ)
เห็นไหม เขาไม่ชวนคุย…เธอขยับปากบอกเพื่อน ๆ
เออ ๆ เขาไม่ชวนมึงก็ชวนสิ...นันทภัคทำแบบเดียวกันกับเธอ
“นึกว่ากลับมาแล้ว จะชวนไปทานข้าวน่ะค่ะ”
(อีกหลายวันเลย ยังไงเดี๋ยวโทร.กลับไปนะครับ)
“อ๋อ ค่ะ”
(อาจจะดึกหน่อย แต่ถ้าเราหลับแล้วไม่ว่ากัน ต้องไปทำงานต่อแล้ว วางนะครับ)
แล้วสายก็ถูกวางโดยชายหนุ่ม วรัสยายังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก เธอรู้สึกเสียหน้านิดหน่อยตอนที่อีกฝ่ายทำเหมือนจะไม่คุยต่อทั้ง ๆ ที่เธอเป็นคนรอให้เขาติดต่อมาก่อน แต่ก็ยังกล้าไปโทร. หาเขาก่อน ซ้ำยังมาบอกว่าจะติดต่อกลับมาอีกที หน้าแหกรอบที่เท่าไรไม่อาจนับได้ แต่แล้วประโยคสุดท้ายก็เหมือนมือที่ยื่นมาจับไม่ให้ล้มลงไปกองที่พื้น ทว่าเธอยังตั้งรับไม่ทัน
เมื่อกี้เขาว่าอะไรนะ
“มึง มันต้องอย่างนี้ ผักกาดดองคืนนี้มึงไม่ต้องนอนเลยนะ กาแฟน่ะซัดเข้าไป เดี๋ยวกูเลี้ยง”
“ไผ่ มันแปลได้ว่าเขาก็สนใจกูใช่ไหม”
“อ้าว นี่มึงไม่รู้หรอ” ได้ฟังเช่นนั้นก็เลิกคิ้วใส่คนพูด “ที่กูจับมึงประเคนให้ผู้ชายที่ไม่รู้จักเนี่ย ไม่ใช่แค่เพราะงานดีนะ แต่เพราะพี่เขามองมึงมานานมาก มึงไปทางไหนเขาก็มอง ยิ่งเห็นรถเขาก็ยิ่งน่าประเคน เอาเถอะมึง ผัวใหม่ที่สุภาพ มีวุฒิภาวะ มีงานทำ บ้านรวย ไม่มีที่ติ ไอ้อั๋นไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บเขา”
“เพราะเห็นเขามองไงเลยคิดว่าจะได้จัด ที่ไหนได้ พี่จัดไม่จัดเลย งง”
“ทะลึ่งละปิ่น” เธอยื่นมือไปผลักหัวเพื่อนอย่างนึกหมั่นไส้ “แล้วถ้ากูคบกับเขาจริง ๆ จะหาทางไปคุยกับมิวได้ยังไง มันบล็อกกูหมดเลย มันจะรู้ความเป็นไปของชีวิตกูเหรอ”
“เออน่า คบให้ได้ก่อนเถอะ ตรงนี้มีตั้งห้าหัวจะไม่มีหัวไหนคิดออกเลยหรอ ไอ้ปิ่นมันเก่งออก ให้มันคิด”
“อย่ามาโบ้ยกูคนเดียวนะไผ่ มึงอะตัวดีเลย เอากลับไปคิดเป็นการบ้าน”
บทสนทนาของสาว ๆ ก็ไหลไปตามเรื่องตามราว ใครนึกอะไรได้ก็ยกมาพูด เข็มของนาฬิกาก็หมุนเรื่อย ๆ โดยไม่หยุดพัก จนเวลาล่วงเลยไปถึงสามทุ่มครึ่ง นันทภัคถึงได้ชวนกลับเพราะอิ่มจนรู้สึกแน่นท้องจากทั้งของย่างและขนมหวาน
“ควันติดหัวแน่เลย วันนี้อุตส่าห์สระผม วันหลังจะชวนกินหมูกระทะก็ช่วยบอกตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยนะคะคุณทราย ทำแบบนี้เดี๋ยวจะไม่มีคนคบนะ”
“ก็กูเพิ่งอยากเมื่อเย็น จะให้เก็บไปชวนปีหน้าหรอ”
“ตบกันตรงนี้เลยไหม ถ่ายคลิปให้” ไม่พูดเปล่าวรัสยายังคว้ามือถือมาทำท่าถ่ายคลิปอย่างที่ปากว่าด้วย
“ยุ่ง / สาระแน”
“อุ๊ย!” เมื่อทั้งสองสวนกลับมาพร้อมกัน คนโดนด่าจึงหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน เป็นเหตุให้สองสาวที่เหลือมีอากัปกริยาเช่นเดียวกัน
ไม่นานจากนั้นสารถีอย่างปิ่นปักษาก็พาทุกคนไปส่งถึงที่หมาย โดยคนที่ถึงที่พักเป็นคนแรกคือวรัสยา ทุกคนให้เหตุผลว่ากลัวเธอจะไม่มีเวลาเตรียมตัวคุยกับผู้ชาย เพื่อน ๆ ของเธอช่างรักเธอเสียเต็มประดา
ห้าทุ่มแล้วนะ... ตายละ นี่เธอรอสายจากเขาอย่างนั้นหรือ แม้จะพยายามปฏิเสธใจง่าย ๆ ของตัวเองแต่พอเข็มยาวชี้เลขสามก็มีสายจากคนที่รอปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เธอเหมือนเด็กอายุสิบสี่ที่เพิ่งหัดมีความรัก แต่ความจริงคือตอนอายุสิบสี่ เธอไม่มีความรัก
(นอนหรือยังครับ)
“ยังค่ะ อ่านนิยายอยู่” ว่าขำ ๆ “กิจวัตรประจำวันของหนูเลย”
(ไม่อ่านหนังสือเตรียมสอบก่อนเหรอ)
คนฟังถึงกับกะพริบตาถี่ ๆ อย่างพยายามทำความเข้าใจกับประโยคข้างต้น อาจจะเพราะเสียงทุ้มที่ไม่ค่อยติดเล่นทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังโดนพ่อดุมากกว่าโดนผู้ชายจีบ แม้เขาจะไม่ด่า แต่ถ้าให้แปลก็คงเป็น นี่เธอเตรียมสอบเนติฯ อยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงเอาแต่อ่านนิยายแทนที่จะอ่านหนังสือเตรียมสอบล่ะ แบบนั้นเลย
วรัสยาหาคำพูดของตัวเองไม่เจอแล้ว
(หมายถึง ก่อนอ่านนิยายได้อ่านหนังสือหรือยังน่ะครับ)
เธอแค่นหัวเราะกลับไป “ก็ นิดหนึ่งค่ะ”
(แล้วนี่พี่กวนเราหรือเปล่า)
“ไม่ค่ะ ว่างแล้ว”
แล้วบทสนทนาก็ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งเธอและเขาต่างก็ผลัดกับเป็นทั้งคนตอบและคนถาม
แม้จะเป็นเวลาแค่สิบนาทีกว่า ๆ แต่ก็เป็นสิบนาทีที่สามารถเติมแต่งรอยยิ้มบนใบหน้าของหนุ่มสาวได้ แม้จะวางสายไปแล้วเธอก็ยังหุบยิ้มไม่ลง ไม่ต่างกันกับจีรกิตติ์ที่ปกติจะมีสีหน้าเรียบเฉย ทว่าบัดนี้กลับนอนอมยิ้มเหมือนคนพี้ยา แต่เขาสาบานให้ฟ้าผ่าตายตอนนี้เลยก็ได้ว่ารอยยิ้มนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสารเสพติด
แต่ถ้าผักกาดโดนจดทะเบียนเป็นสารเสพติดเมื่อไรเขาจะก้าวขาเข้าคุกแต่โดยดี…
ทั้งหมดมันเพราะเด็กคนนั้นโตมากลายเป็นเธอ เธอที่ไม่ว่าจะในวัยเยาว์หรือปัจจุบันก็ยังคงมีอิทธิพลกับเขาเสมอ