บท
ตั้งค่า

บทที่1│ว่าที่สตรีหมายเลขสาม (1)

ผู้หญิงนามว่า รติรส ฉากหน้าเคยเป็นเพียงช่างสักโนเนมที่ไม่มีใครสนใจ จนกระทั่งจับพลัดจับผลูไปเป็น ‘ว่าที่เจ้าสาว’ ของผู้มีอิทธิพลในพื้นที่เข้า หลายๆ คนซุบซิบนินทาว่าเธอเป็นหนูตกถังข้าวสาร ถึงกระนั้น มันก็เป็นการพูดลับหลังไปต่างๆ นานาเท่านั้น ต่อหน้าแล้วไม่มีใครกล้ายุ่งวุ่นวายอะไรกับผู้หญิงของคนที่ถูกขนานนามว่าเป็นขาใหญ่โพธาราม

จะมีก็แต่ผู้หญิงของเขานั่นแล ที่กล้ายุ่ง

พวกเขาว่า ‘ชีวิตไอ้ตี้มันดีเนอะ บ้านจะถูกยึดแท้ๆ แต่ยังมีคนยื่นมือมาช่วยปลดหนี้ให้ แถมยังได้ผัวรวยอีก’ ก็ถ้ามันดี มาเป็นไอ้ตี้แทนเธอจะได้หรือไม่ เพราะเธอไม่อยากมีชะตาชีวิตแสนบัดซบเช่นนี้เลย

ฉากหน้าที่คนมองว่าน่าอิจฉา ฉากหลังคือผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องแบกรับความคาดหวังของครอบครัวจนต้องแลกกับอิสรภาพของตัวเอง หนี้ที่พี่สาวต่างพ่อก่อร่วมกันกับสามีจนลามปามใหญ่โต ไม่มีธุรกิจใดๆ งอกงามมาให้เห็น จะมีก็แต่หมายศาลที่ร่อนมาถึงหน้าบ้าน ที่ซุกหัวนอนอยู่ในขั้นตอนบังคับคดีจนจะถูกยึดและขายทอดตลาดเป็นผักเป็นปลา

น่าชื่นใจเสียจริง

มารดาของเธอต้องแจ้นไปหาคนนู้นคนนี้เพื่อขอความช่วยเหลือ ญาติๆ ต่างพากันส่ายหน้าหนี แค่เห็นหน้าแม่เธอก็รีบหลบ แค่สบตายังกลัวจะโดนยืมเงิน สุดท้ายจึงเลือกแก้ปัญหาด้วยการกู้เงินนอกระบบ และคนที่เงินหนากว่าใครเพื่อนในโพธารามคงไม่พ้นพศุตม์ คุยกันอยู่นาน เขาจึงตัดสินใจที่จะซื้อบ้านแทนที่จะปล่อยให้ถูกยึด แล้วอนุญาตให้ทุกคนได้อยู่อาศัยเช่นเดิม

คนที่มองผลประโยชน์เป็นอันดับแรก ข้อเสนอเช่นนี้ใจกว้างเกินที่ควรจะเป็น การติดสินใจชมว่าพศุตม์เป็นคนใจดีนั้นยังเร็วไปมาก และแล้วความต้องการของเขาก็ตกมาอยู่ที่เธอ

พศุตม์ต้องตาต้องใจลูกสาวคนเล็กของบ้านหลังนี้มานาน ในที่สุดอ้อยก็เข้าปากช้างอย่างงายดาย เธอจึงต้องไปเป็นเมียของเขา แถมยังเป็นเมียคนที่สามอีกด้วย

รติรสสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด ก่อนจะผ่อนออกอย่างช้าๆ เมื่อยานพาหนะเคลื่อนตัวเข้าเขตบ้านของชายคนดังกล่าว เพียงแค่ผ่านพ้นรั้วก็ถูกความประหม่าเล่นงาน ชายฉกรรจ์มากหน้าหลายตาต่างก็จับกลุ่มกันอยู่ที่ซุ้มตามจุดต่างๆ ของบ้าน พศุตม์เลี้ยงคนไว้มาก มากจนไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอ

ถิรมันคือคนหนึ่งที่เธอขอร้อง ขอให้พาเธอไปจากราชบุรี ไปไหนก็ได้ให้ไกลหูไกลตาของพศุตม์ แต่เขาทำไม่ได้

พันราตรี เพื่อนสนิทที่เธอเคยแง้มว่าอยากหนีไปอยู่ที่อื่น แต่อีกฝ่ายก็บอกว่าหากทำเช่นนั้นจะไม่เป็นผลดี คนอย่างพศุตม์หากได้ออกล่า เธอไม่มีวันรอด

รติรสไม่โกรธเลยสักนิดที่ไม่มีใครช่วย เธอเข้าใจ เพราะเธอเองก็กลัวที่จะต้องหนีจากคนคนนี้ เพราะไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนก็คงหนีไม่พ้นเงื้อมมือของเขา แต่การต้องยอมรับชะตากรรมเช่นนี้ก็ยากเกินใจจะรับไหว

ทันทีที่เห็นว่าที่นายหญิงเคลื่อนตัวเข้ามา เหล่าลูกน้องนับสิบชีวิตของพศุตม์ก็มองมาเป็นตาเดียว วันนี้เธอใส่เสื้อกล้ามล่อเสือล่อตะเข้อย่างดี ทว่าพอจะออกจากร้านสัก ก็จำต้องขอยืมเสื้อกันหนาวจากถิรมันมาสวมใส่ ให้เยือนที่แห่งนี้ด้วยชุดแบบนั้นมันไม่ปลอดภัยกับเธอนัก

“สวัสดีครับนายหญิง”

เครื่องยนต์ดับลง เสียงของผู้ชายพวกนั้นก็ดังขึ้น ปากเธอส่งยิ้ม ฟันเธอขบแน่น ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปในบ้านหลังงามของพศุตม์ แต่ยังไม่ทันถึงหน้าประตูก็มีคนเดินสวนทางออกมาเสียก่อน นัยน์ตาคมเข้มของชายร่างใหญ่ตวัดมองคนมาใหม่ ใบหน้าดุดันขัดกับการกระทำโดยสิ้นเชิง

เสือยศ หากเสือเข้มเปรียบเสมือนมือขวา ชายผู้นี้ก็คงเป็นมือซ้าย เขาอายุมากกว่าเธอเกือบยี่สิบปี แต่ทันทีที่พบหน้ากัน อีกฝ่ายกลับค้อมหัวให้อย่างมีมารยาท

“เสี่ยกำลังรออยู่ข้างในเลยครับ”

เธอแค่นยิ้ม “น้องเพิ่งเลิกงานเลยเพิ่งมาถึงน่ะค่ะ”

“เสี่ยไม่ได้ว่าอะไรครับ แค่ซื้อของมาฝาก”

รติรสไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ถ้าเป็นไปได้ เธอก็ไม่อยากสุงสิงหรือพูดคุยกับใครที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ เสือเข้มเพิ่งพ้นโทษคดีทำร้ายร่างกาย เสือยศนั้นครั้งหนึ่งเคยต้องโทษคดีฆ่าคนตาย คนอื่นๆ ที่อยู่ในนี้ก็มีเรือนจำเป็นบ้านหลังที่สอง ทั้งเสพ ทั้งขาย ไหนยังพกปืนกันจนกลายเป็นอวัยวะที่สามสิบสาม สารพัดสิ่งผิดกฎหมายอยู่ในครอบครองพวกเขาทั้งนั้น

บ้านหลังนี้ก็ซุ้มมือปืนดีๆ นี่เอง น่าโมโหที่พศุตม์ดันไม่เคยย่างกรายเข้าตารางเลยสักหน แม้ว่าใครๆ ต่างก็รู้ว่าเขาคือสารตั้งต้นของทุกเรื่อง เพราะแม้แต่ตำรวจยังเป็นพรรคพวกของคนคนนี้เลย และลูกสมุนต่างก็จงรักภักดีและซื่อสัตย์อย่างกับหมา ไม่เคยเลยที่จะให้การซัดทอดมาถึงผู้บงการ ถึงได้ลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคม ขณะเดียวกันก็ยังมีผู้คนสรรเสริญเยินยอไม่รู้จบ เดินไปไหนมาไหนก็มีแต่คนนอบน้อม เพียงเพราะเขามีเงิน ไม่สนกันเลยสักนิดว่าเงินนั้นมีที่มาอย่างไร

แค่มีเงินก็เป็นคนดี พวกเขามองกันเช่นนั้น

ถ้าหากพศุตม์เป็นคนดี โลกนี้ไม่มีใครสารเลวอีกแล้ว

เมื่อเข้ามาภายในบ้านก็พบกับเจ้าของบ้านที่นั่งคุยอยู่นักการเมืองท้องถิ่น ความมั่นคงของพศุตม์อาจไม่ใช่เพียงเงินตรา แต่หมายถึงพรรคพวกที่เอื้อผลประโยชน์ต่อกัน ซึ่งมันทำให้เขาน่ายำเกรงขึ้นหลายเท่าตัว ด้วยเหตุนี้ ใครกันจะกล้ายื่นมือมาช่วยเธอ

“ผมรับรอง สมัยหน้ามันจะไม่กล้าโผล่หัวมาลง- อ้าว มาแล้วเหรอ” เสียงที่พยายามเพิ่มความอ่อนนุ่มดังขึ้นทันทีที่เห็นสาวน้อยเดินเข้ามา สีหน้าและแววตาที่ใช้มองก็แปรเปลี่ยนจากตอนที่พูดคุยกับสหาย ฝ่ามือใหญ่ตบลงไปที่หน้าตักของตัวเองเพื่อสื่อถึง ‘ที่นั่ง’ ของรติรส

หญิงสาวยิ้มแหยพร้อมกับความรู้สึกมวนท้อง คล้ายว่าอาหารที่อยู่ในกระเพาะจะขย้อนออกมาทางปาก

เธอไม่มีวันยอมรับชะตาชีวิตที่จะต้องตกเป็นวัตถุทางเพศของผู้ชายคนนี้อย่างแน่นอน ในนี้ นอกจากนักการเมืองวัยสี่สิบต้น ยังมีคนรู้จักของเขานั่งอยู่ใกล้ๆ กัน ไหนยังพวกลูกน้องที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ใกล้ แล้วยังคิดให้เธอไปนั่งบนตักต่อหน้าสายตาหลายคู่ เอาปืนมายิงกันให้ตายเสียยังดีกว่า

รติรสพนมมือไหว้คนอายุมากกว่าอย่างพยายามนอบน้อม ต่อให้เกลียดอย่างไร เธอก็ไม่เก่งกาจพอจะสู้รบปรบมือกับคนเหล่านี้ ก่อนจะค่อยๆ เดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับเจ้าของบ้าน ถือว่าเป็นการแบ่งรับแบ่งสู้ตามประสาคนตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่มีอำนาจต่อรองมากนัก แต่ก็มิอาจยอมรับการตกเป็นลูกไก่ในกำมือได้

ชายที่ผู้คนต่างให้ความเคารพ ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ใครกันเล่าจะกล้าขัดคำสั่ง แต่บัดนี้กลับมี ‘ใครบางคน’ ไม่ยอมทำตามใจปรารถนา ทว่าแทนที่จะกรุ่นไปด้วยโทสะ พศุตม์กลับระบายยิ้มราวคนมีความสุข อ้าปากหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ

เขาชอบเธอมาก ชอบที่เธอมีลูกล่อลูกชน คล้ายจะโอนอ่อนไปกับเขา แต่ก็มีความดื้อรั้นแฝงอยู่ ช่างเป็นคนที่น่าเอา...ชนะเสียเหลือเกิน

ฝ่ามือใหญ่ตบลงไปที่หน้าตักอีกครั้ง ปกติเขาไม่ชอบพูดซ้ำสอง แต่กับรติรส จะสามหรือสี่ก็ไม่ยักโกรธ แต่ถ้ามากกว่านั้นคงต้องพิจารณาอีกที

ใบหน้าเกลี้ยงเกลาส่ายไปมา แสร้งพูดด้วยเสียงแผ่วเบาให้ได้ยินกันสองคนว่า “คนเยอะค่ะ”

หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบต้นๆ ที่ได้ฟังเช่นนั้นก็เปิดปากหัวเราะร่าอย่างพึงพอใจ ก่อนหันไปหาสหาย “ไว้ค่อยคุยกันวันหลังครับ”

นักการเมืองยกยิ้มกริ่ม เข้าใจทันทีว่าตัวเองถูกเชิญออกจากบ้านเสียแล้ว ก่อนไปยังไม่วายหยอกเย้าว่าที่บ่าวสาวที่ใกล้จะเข้าประตูวิวาห์ในอีกไม่กี่วันที่จะถึง “หวังว่าเสี่ยจะได้มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองกับหนูตี้นะ”

คนถูกอวยพรยิ้มรับคำพูดนั้น ก่อนจะหันมาสนใจร่างแน่งน้อยที่นั่งข้างกัน เมื่อไล่ ‘ก้างขวางคอ’ ออกไปจนหมด ก็คว้าไปที่เอวบางอย่างเต็มรัก ดึงรั้งให้สาวเจ้าขยับมาอยู่ใกล้กันจนสามารถสูดดมกลิ่นกายหอมกรุ่นได้อย่างถนัดถนี่

“คิดถึงหนูมากเลย”

มือบางกำแน่นจนเล็บจิกเนื้อหนัง แต่เธอไม่รู้สึกเจ็บเท่าที่ต้องปล่อยให้ใครคนอื่นมาซุกไซ้ซอกคอ ความสะอิดสะเอียนที่อัดแน่นอยู่เต็มอกคล้ายจะปะทุออกมา ทว่าโดนขัดขวางด้วยความกลัว

เธอกลัวเขา กลัวมากจริงๆ

พศุตม์จับร่างบางของสาวน้อยในดวงใจมานั่งบนตัก ใช้วงแขนโอบรัดรอบเอวคอดเพื่อปิดประตูทางหนีทีไล่ ให้หญิงสาวไม่สามารถหลุดออกจากพันธะหากเขาไม่คิดปล่อย จมูกโด่งไล้ไปยังเนื้อหนังที่โผล่พ้นอาภรณ์ ถึงกระนั้นมันก็ไม่สาแก่ใจ จึงเอื้อมมือไปจับชายเสื้อกันหนาวหวังจะถอดมันออก

ยื้อยุดอยู่พักหนึ่งก็จำต้องใช้ไม้แข็ง “เล่นตัวก็ต้องมีลิมิตนะตี้ มากไประวังเสี่ยจะอารมณ์ไม่ดี”

ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนปฏิบัติกับเขาเช่นนี้ เขาถึงชอบเธอ เธอที่ท้าทายจิตใจเขาได้ดีกว่าใคร

ร่างบางนิ่งไป เสื้อกันหนาวตัวโคร่งถูกถอดออก เหลือเพียงเสื้อกล้ามที่สะกดสายตาคนมองจนมิอาจละไปไหนได้ ทว่าใบหน้าที่คล้ายจะมีน้ำตาคลอหน่วยก็เรียกให้เขาละสายตาจากเนินอกเพื่อสบตาสาวเจ้า

เสียงเขาอ่อนโยนขึ้นเพื่อปลอบประโลมหัวใจดวงน้อยๆ “ร้องไห้ทำไม หรือเพราะเสี่ยดุ”

เธอเพียงเม้มปากเป็นเส้นตรง

ริมฝีปากหยักยกขึ้นจนเกิดรอยยิ้ม ฝ่ามือหนาลูบไล้ไปที่กลุ่มผมสลวยอย่างแผ่วเบา “ขอโทษ อย่างอนกันเลย เสี่ยไม่ได้อยากดุหนู เสี่ยแค่คิดถึง”

รติรสยิ่งขบริมฝีปากแน่นกว่าเดิม

ใคร...ใครมันจะร้องเพราะถูกดุ เธอจะเสียน้ำตาก็เพราะรังเกียจ รังเกียจจนโกรธที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้ โกรธจนทำได้แค่ร้องไห้ให้สมกับความอึดอัดคับแน่นที่ก่อเกิดในหัวใจ

ยิ่งอยู่เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเล็กลงเรื่อยๆ เล็กจนไม่สามารถต่อกรกับใครได้ โดยเฉพาะคนตัวใหญ่คนนี้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel