บท
ตั้งค่า

บทที่2│หนุ่มปีชวด (1)

บทที่ 2

หนุ่มปีชวด

หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้...

สามคืนติดกับการฝันว่าตัวเองหัวขาด สองครั้งที่ได้แผลจนเลือดตกยางออก และครั้งแรกกับการโดนรถเฉี่ยวจนขาสั่นแทบจะทรงตัวไม่อยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะชาวบ้านแถวนั้นช่วยกระชากแขนกลับไป

มันอาจไม่หยุดที่การเฉี่ยว...

เสียงตะโกนดังขึ้นแข่งเสียงยวดยานบนท้องถนน “เดินดูรถบ้างสิวะ! อยากตายหรือไง!”

ไม่มีเสียงใดโต้ตอบกับชายฉกรรจ์ที่ขี่มอเตอร์ไซค์ผ่านไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

“ไอ้หนู เป็นอะไรหรือเปล่า”

หญิงสาวผู้ประสบเหตุได้แต่กะพริบตาปริบๆ เธอหาเสียงของตัวเองไม่เจอด้วยซ้ำ ด้วยขวัญกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทางจนกู่ไม่กลับ

หากเธอก้าวไปไวกว่านี้อีกสักนิดคงได้เป็นไปตามสมพรปากของแม่หมอเจ้าของเสื้อผ้าแสนรุ่มร่ามคนนั้น

“ไอ้หนู”

“คะ...คะ?”

“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

“ค่ะ ขอบคุณที่ช่วยนะคะ”

ก่อนเจ้าหล่อนจะประคับประคองสติอันน้อยนิดแล้วหมุนตัวเดินกลับไปที่รถของตัวเอง แทนที่จะเดินเข้าไปในตลาดเพื่อหาของกินเล่นมาทานในช่วงเย็น และเปลี่ยนจุดมุ่งหมายไปยังบ้านของหมอดูที่มีโอกาสได้พบกันเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว

อาภาสินีไม่เชื่อเรื่องดวงหรือสิ่งที่มองไม่เห็น เธอเชื่อแค่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าและมองได้ด้วยตาเนื้อเท่านั้น

ด้วยเหตุนั้น เรื่องที่หญิงวัยกลางคนท่าทางแปลกๆ ที่เจอกันในร้านอาหารได้บอกไว้ว่าชะตาชีวิตของเธอใกล้จะขาดสะบั้นลงเมื่อสิ้นสุดอายุยี่สิบห้า ซึ่งก็เป็นเวลาอีกประมาณสี่ถึงห้าเดือนเห็นจะได้ จึงถูกโยนทิ้งลงถังขยะอย่างไม่ไยดี

หมอดูคู่กับหมอเดาทั้งนั้น ก็แค่จะหลอกเอาเงินกันเฉยๆ เธอน่ะ ถึงจะไม่ต้องรัดเข็มขัดและเข้าขั้นเป็นคนรวยเพราะบารมีของพี่เขยแล้วก็ตาม แต่ก็ขี้งกขั้นสุด ไม่คิดใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายไปกับเรื่องไร้สาระเด็ดขาด

รวมถึงเรื่องดูดวงด้วย

ก่อนจะจากกัน อีกฝ่ายบอกไว้ว่าให้มาหาได้ทุกเมื่อที่บ้านของตน ก่อนหน้านี้เธอก็ไม่ยักจะใส่ใจ แต่วันนี้เห็นทีจะปล่อยไปไม่ได้เสียแล้ว

ในที่สุดอาภาสินีก็เดินทางมาถึงที่หมาย กดกริ่งหน้าบ้านอยู่ครั้งสองครั้งก็มีหญิงชราท่าทางใจดีเดินมาต้อนรับขับสู้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“สวัสดีค่ะ ที่นี่ใช่บ้านแม่หมอหรือเปล่าคะ”

เพียงเท่านั้นอาภาสินีก็ได้เข้าไปอยู่ในบ้านโดยไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมถึงลักษณะของคนที่ต้องการพบ สาวเจ้านั่งลงต่อหน้าหมอดูที่เธอเคยปรามาสไว้ว่าเป็นแค่หมอเดา

“มาแล้วรึ”

เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง “จำเอื้อได้เหรอคะ”

อีกฝ่ายไม่ตอบคำถามนั้น แต่เอ่ยขึ้นลอยๆ “คิดอยู่แล้วว่าจะต้องมา”

คุณติวเตอร์ไม่ต่อความยาวสาวความยืด ก่อนรีบโพล่งเข้าประเด็นสำคัญ “ที่บอกว่าชะตาของเอื้อใกล้ขาด มันเป็นยังไงคะ”

“ก็ตามที่แม่ได้พูดไปนั่นแหละ”

“หมายถึงว่าเอื้อจะตายในอีกไม่กี่เดือนนี้เหรอคะ”

เจ้าหล่อนพยักหน้าอย่างเชื่องช้า ท่าทีไม่ทุกข์ร้อนต่างจากอาภาสินีที่นั่งแทบไม่ติดพื้น

“เอื้อยังไม่อยากตายค่ะ แต่หมู่นี้มีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดขึ้นกับเอื้อบ่อยมาก”

“ใกล้แล้วล่ะ ยื้อได้ไม่มากแล้ว”

เธออดจะโอดครวญไม่ได้กับข่าวร้ายนี้

สวรรค์กลั่นแกล้งกันเกินไป เธอต้องเสียพ่อไปตั้งแต่สมัยเรียน แม่ก็เป็นผู้ป่วยติดเตียง และเมื่อปลายปีที่แล้วท่านเพิ่งจะจากไปอย่างสงบ

บ้านเป็นหนี้ก้อนโตเพราะอุบัติเหตุครั้งนั้นที่บิดาเป็นฝ่ายผิด ที่ผ่านมาเธอและน้องสาวฝาแฝดพยายามทำงานเพื่อแบ่งเบาภาระของพี่สาวคนโต ทั้งเรียนทั้งหารายได้เสริม เพราะมีกันอยู่แค่นี้จึงต้องช่วยเหลือกัน ชีวิตในแต่ละวันนั้นแสนจะลำบาก เพิ่งมาสบายจริงๆ ก็ตอนพี่สาวพบรักกับเศรษฐีที่เป็นถึงลูกหลานนักการเมืองเก่า ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่บ้านดีขึ้น

หลังเรียนจบก็ได้ทำงานใกล้บ้าน ช่วยพี่สาวเลี้ยงหลานๆ ที่น่ารัก ก่อนแม่จะเสียก็ช่วยดูแลท่านไม่เคยขาด

แต่สวรรค์กลับตอบแทนชีวิตเด็กดีด้วยการให้สิ้นอายุขัยตอนอายุยี่สิบห้า

ถ้าเธอตาย เธอจะติดต่อทนายแล้วยื่นฟ้องพระเจ้าให้หมดตัวเลยคอยดู

“แต่ก็มีทางแก้อยู่”

ประโยคนั้นเรียกความสนใจจากสาวน้อยที่ท้อแท้กับชีวิตได้เป็นอย่างดี

คนตัวเล็กปากคอสั่นพูดติดๆ ขัดๆ “อะ...อะไรคะ บอกเอื้อมาเลย บอกมาให้หมด กี่วิธีที่จะแก้ได้ก็บอกเอื้อมาให้หมดทุกอย่าง ไม่ว่ายากเย็นยังไงเอื้อก็จะทำ”

“มันไม่ได้มีมากขนาดนั้น ที่จริงมีแค่ทางเดียวด้วยซ้ำ”

“ทางเดียวก็ดีกว่าไม่มีค่ะ มันคืออะไรคะ”

“มันมีคนที่จะช่วยหนุนชะตาของหนูอยู่ แค่ต้องหาให้เจอ”

เธอพยักหน้าเพื่อสื่อว่ารับรู้ ก่อนยิงคำถาม “ใครคะ ใครกันที่หนุนชะตาของเอื้อไว้ เอื้อจะหา ถึงต้องพลิกแผ่นดินหาเอื้อก็ไม่หวั่น”

“หนุ่มปีชวดที่เกิดวันเสาร์ เขาจะเป็นคนหนุนชะตาของหนู ถ้าอยู่กับเขาแล้วชีวิตของหนูจะไม่มีอันตราย รวมถึงจะผ่านพ้นช่วงดวงใกล้ถึงฆาตไปได้”

สาวเจ้าร้องถามเสียงหลง “คะ?”

“หนูต้องหาให้เจอ ไม่อย่างนั้นชะตาหนูไม่พ้นปีนี้แน่ๆ”

“อยู่ในที่นี้คือยังไงคะแม่หมอ ต้องอยู่ด้วยกันเหรอคะ แค่หาให้เจออย่างเดียวไม่ได้เหรอ”

หัวคิ้วสวยมุ่นเข้าหากันด้วยความฉงน

เจ้าหล่อนสำทับประโยคของตน “แบบนั้นมันไม่ได้แปลว่าจะต้องแต่งงาน สร้างครอบครัว มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองด้วยกันหรอกหรือ เพราะแม่หมอบอกว่าให้หาหนุ่ม แล้วหนุ่มที่ไหนจะมาอยู่กับเอื้อได้ตลอดถ้าไม่ใช่แฟน หนุ่มๆ คนอื่นเขาก็คงไม่มาอยู่กับเอื้อหรอก แปลว่าเอื้อต้องหาแฟนใช่ไหนคะ” เจ้าหล่อนเงียบไปชั่วอึดใจ “แล้วแฟนของเอื้อต้องเกิดวันเสาร์ในปีชวดด้วย เกณฑ์มีแค่นี้ใช่ไหมคะ”

“ใช่จ้ะ”

“แล้วถ้าไม่เจอคนนั้นล่ะ”

“ชะตาขาด”

ขนกายลุกอย่างพร้อมเพรียง

แม่หมอโพล่งมาอีกหน “คนเกิดปีชวดคือคนอายุสี่สิบกับยี่สิบแปด หนูเลือกได้เลยว่าอยากได้วัยไหน”

“ถ้าคว้าคนสี่สิบมาเป็นแฟน เอื้อคงไม่ต้องมีลูกเอง ป่านนี้พวกหนุ่มปีชวดวัยนั้นคงมีลูกกันคนละโหล จนลูกมีลูก หนุ่มๆ คงกลายเป็นคุณปู่คุณตากันหมดแล้ว หลงไปคบคงได้ช่วยเขาเลี้ยงหลาน ไหนยังเมียเขาอีก เอื้อไม่เคยคิดอยากเป็นเมียน้อยของใคร โดนตบไม่คุ้มกัน อีกอย่างเอื้อก็มีศักดิ์ศรีนะแม่หมอ”

“เอ่อ...”

“ยี่สิบแปดก็พอค่ะ หนุ่มปีชวดอายุยี่สิบแปดก็พอ” แล้วตอนนั้นอาภาสินีก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เมื่อเดือนที่แล้วนี่เองที่เธอเพิ่งเห็นเลขยี่สิบแปดผ่านตาเพราะพี่สาวเป็นคนโพสต์ เธอรีบคว้าสมาร์ตโฟนเครื่องบางออกมาถือไว้ก่อนกดเข้าไปในอินสตาแกรม แตะไปที่บัญชีของพี่สาว ไม่จำเป็นต้องเลื่อนไปไกลก็เจอรูปที่ว่า

อัสมาและคนอื่นๆ รวมถึงแฝดน้องของเธอก็ได้ไปร่วมงานวันคล้ายวันเกิดในวัยยี่สิบแปดของเขา วันนั้นคนรอบตัวของเธออยู่ที่งานเลี้ยงของเจ้าตัวเกือบหมด หลานๆ ก็ยังไป

ยกเว้นเธอ จำได้ดีว่าไม่แม้แต่จะถูกเชิญด้วยซ้ำ

สาวเจ้าเหลือบตามองวันที่พี่สาวโพสต์รูปลง พบว่าเป็นวันที่ยี่สิบเมษายน ในรูปมีลูกโป่งเลขสองกับแปดเพื่อยืนยันว่าเจ้าของวันเกิดอายุยี่สิบแปด แปลว่าเขาคือหนุ่มปีชวดที่เธอตามหา

ก่อนเข้ากูเกิ้ลเพื่อดูปฏิทินสำหรับปีนั้น ซึ่งมันก็ทำให้อาภาสินีอยากชิงกัดลิ้นให้ตายก่อนชะตาจะขาด เมื่อพบว่าวันที่ยี่สิบ เดือนเมษายนของปีนั้นตรงกับวันเสาร์พอดิบพอดี

ร้อยตำรวจโท เลปกร เพียรกุล เข้าเกณฑ์หนุ่มปีชวดที่หนุนชะตาของเธอ!

• ────── ✾ ────── •

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel