บทที่1│อุ่นกายในคืนหนาวใจ (3)
“โทษนะ แต่หน้าผมเหมือนคนที่ชอบคุณตรงไหนครับ” ตอบออกไปเสียงแข็งทั้งยังชะลอความเร็วลง พร้อมกับคว้าเข้าไปที่ข้อมือบางแล้วสะบัดออกออกอย่างไม่ไยดี “เอามือออกไปสักที คุณกำลังจะทำให้พวกเราเกิดอุ-”
เสียงอะไรบางอย่างกระทบกันดังทะลุโสตประสาท ปนเปไปกับเสียงสะอื้นไห้ที่ดังออกมาจากปากสีหวาน
เธอจับไปยังข้อมือของตนที่กระแทกเข้ากับคอนโซลจนร้าวระบม เลปกรค่อนข้างตื่นตกใจจนทำอะไรแทบไม่ถูก ก่อนตัดสินใจพารถเข้าข้างทางแล้วดูอาการคนเจ็บ เอื้อมมือไปเปิดไฟแล้วคว้ามือเธอมาดูอาการ ถึงเขาจะทำเพราะต้องการให้เธอเลิกวุ่นวาย ทว่าเกิดเรื่องแบบนี้ก็อดจะรู้สึกผิดไม่ได้
“ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ็บ”
สาวเจ้าเม้มปากแน่น นัยน์ตาคลอหน่อยไปด้วยน้ำสีใสจนน่าสงสารจับใจ ถ้าไม่ติดที่เธอมีนิสัยแปลกๆ ก็ยอมรับเลยว่าอาภาสินีเป็นคนหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่ง พอกลั้นน้ำตาแบบนี้ก็ทำเอาใจสั่นไปชั่วขณะ
ชายหนุ่มกล่าวด้วยเสียงที่นุ่มนวลกว่าเก่า “ผมขอโทษนะคุณ เจ็บมากไหม”
เธอยังคงเม้มปากเป็นเส้นตรงก่อนพยักหน้ารับ
นั่นยิ่งทำให้รู้สึกผิดมากกว่าเดิม
เขาอยากจะกล่าวโทษเจ้าหล่อนว่าต้นเหตุมันก็มาจากการที่เธอเอาแต่ลวนลามเขา แต่เห็นหน้าเด็กขี้แยแล้วคำด่าก็กระเจิงไปคนละทิศละทาง ถ้าเขายังตำหนิเธอได้ เขามันก็เป็นไอ้เลวตัวหนึ่งเท่านั้น
เลปกรลูบไปยังส่วนที่อาภาสินีบอกว่าเจ็บด้วยสัมผัสแสนอ่อนโยน “แต่คุณก็ไม่ควรมาคุกคามผมแบบนี้เหมือนกัน”
มั่นใจว่าเขาพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ที่อาจจะนุ่มนวลกว่าปกติด้วยซ้ำ แต่พอพูดออกไปเจ้าตัวก็ส่งเสียงร้องไห้หนักกว่าเดิม
ผิดแล้วไม่ยอมรับผิด ทำให้คนผิดกลายเป็นเขาเสียได้ ยายผู้หญิงคนนี้!
“โอเคๆ ไม่เป็นไร”
ให้หลังเกือบสิบนาทีกว่าเสียงร้องไห้จะหลงเหลือเพียงเสียงสะอื้นขาดห้วง
ตำรวจหนุ่มเหลือบตามองนาฬิกาก็พบว่าเป็นเวลาเกือบจะสี่ทุ่มครึ่ง ระยะทางจากที่นี่ไปยังตัวเมืองใช้เวลาประมาณสามสิบนาทีขาดเกินนั้นไม่มากนัก แต่ในชั่วโมงที่ฟ้ารั่วจนทัศนียภาพถูกบดบังจนมองอะไรก็พร่ามัวไปหมดนั้น ไหนถนนยังลื่นอีกต่างหาก อย่างต่ำก็คงสี่สิบนาที
และเป็นสี่สิบนาทีที่ค่อนข้างเสี่ยงจะเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนด้วย
เขาหน่ายใจ แต่เลือดนายตำรวจในกายก็บอกว่าดีแล้วที่เป็นตัวเอง เพราะถ้าอาภาสินีขับรถกลับบ้านเองเห็นทีว่าคงเลวร้ายกว่านี้มาก
“คุณเอื้อ ผมว่าเราคงต้องหาที่พักแถวนี้นอนไปก่อน แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยกลับบ้าน”
เธอไม่ตอบเป็นคำพูด แต่พยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย
เลปกรค่อนข้างชินทางจึงรู้ว่าจุดไหนพอจะมีที่พักบ้าง ชายหนุ่มเริ่มเคลื่อนรถออกไปบนท้องถนนอีกครั้ง
ให้หลังประมาณสิบนาทีทั้งสองก็พากันมาอยู่ในห้องพักห้องสุดท้ายของรีสอร์ตที่อยู่ริมทาง
ลมหายใจของเขาถูกผ่อนออกอย่างเหลืออดในโชคชะตา เพราะตั้งใจว่าจะเปิดสองห้องเพื่อที่จะได้แยกกันนอน แต่อย่างกับมีเจ้ากรรมนายเวรคอยลิขิตชะตาอยู่เบื้องบน ถึงได้กลั่นแกล้งให้ห้องว่างเหลือเพียงห้องเดียว
อาภาสินีก้าวเดินไปยังเตียงนอน ก่อนจะทิ้งตัวลงไปนอนขวางเตียงไว้ทั้งอย่างนั้น โดยที่ขาทั้งสองยังคงห้อยลงมาที่ข้างเตียง เปลือกตาปิดลง จังหวะของลมหายใจเริ่มสม่ำเสมอ
แม่นี่ก็ถือเป็นหนึ่งในเจ้ากรรมนายเวรของเขา
“คุณเอื้อ”
ไม่มีเสียงตอบรับจากสาวเจ้า
ขายาวก้าวไปหยุดอยู่ข้างเตียง “นี่คุณ ขยับให้ผมนอนบ้าง”
เธอก็ยังคงนอนนิ่งไม่ไหวติง เขาจึงโน้มตัวไปหาจนระยะห่างระหว่างคนทั้งสองลดลง พร้อมยื่นมือไปสะกิดต้นแขนเรียบเนียนที่โผล่พ้นเสื้อเกาะอกตัวจิ๋ว ซึ่งเป็นภาพที่ไม่ค่อยคุ้นตานัก ไหนยังใส่กระโปรงสั้นแค่คืบ ยามเธอนอนแผ่หลาก็ปรากฏภาพล่อแหลมจนเขาต้องเบือนหน้าหนี
ชายหนุ่มสะกิดแขนยิกๆ “นอนให้ดีหน่อยเถอะแม่คุณ ล่อไรขนาดนั้น ไม่กลัวภาพติดตาผมจนต้องไปรดน้ำมนต์เรอะ”
ทว่ายังไม่ทันจะได้พูดอะไรมากกว่านั้น ข้อมือของเขาก็ถูกกระชากจนเสียการทรงตัว ร่างทั้งร่างล้มลงไปทับร่างบอบบางที่นอนอยู่ด้านล่าง ใบหน้าคมคายของตำรวจหนุ่มฝังลงไปที่เนินอกขาวผ่อง พร้อมกับที่เรียวแขนของคนตัวเล็กตวัดรอบลำคอ
เจ้าหล่อนกล่าวเสียงกระเส่า “ล่อเฮียไง”
เขาถึงได้สติ รีบพาตัวเองออกจากอกนุ่มๆ ที่ส่งกลิ่นหอมอบอวลราวตั้งใจยั่วยวยจนไม่อยากผละไปไหน ถึงกระนั้นก็ตาม ความนุ่มนิ่มนี้มันอาบยาพิษ เขาจะไม่หลงกลเด็ดขาด แต่แล้วกลับทำตามใจคิดไม่ได้เมื่อสาวเจ้าใช้แรงทั้งหมดที่มีในการรัดรอบลำคอหนาจนไม่สามารถพาตัวเองออกไปได้
เสียงใสเจือความหงุดหงิดพอประมาณ “อย่ามัวแต่เล่นตัวเลย จะเอาไม่เอา?”
แม่นี่เป็นคนเช่นนี้เรอะ!
เขาก็ผู้ชายคนหนึ่ง เรี่ยวแรงมีเหนือเธออยู่แล้ว ใช้เวลาแค่ครู่สั้นๆ ก็ดึงใบหน้าออกจากอกนุ่มฟูได้
นัยน์ตาคมเข้มทอดมองสาวน้อยในชุดแสนเซ็กซี่ กวาดตาไปทั่วเนื้อตัวที่โผล่พ้นเสื้อผ้าแล้วดึงสายตากลับมาที่หน้านวลสวย
ก็นั่นแหละ เขาเป็นผู้ชาย
คิ้วเข้มเลิกขึ้นข้างหนึ่ง “ทำไม อยากให้เอา?”
“อื้อ”
มุมปากหยักกระตุกขึ้น “ทำไงดี พอดีผมเลือกกิน พวกของแสลงไม่อยู่ในสายตาผมหรอก”
“เหรอ”
“ใช่ ค่อนข้างเรื่องมากเลยแหละ”
“เลือกกินหรือทำไม่เป็นกันแน่”
คำถามที่เจือการหยามเกียรติทำให้เลปกรแทบควันออกหู ก่อนที่เธอจะผลักไหล่เขาออกให้พ้นทางแล้วยันตัวลุกขึ้นนั่ง สีหน้าแววตาไร้อารมณ์พอสมควร
เหมือนติวเตอร์สาวจะสลัดภาพคนเมาทิ้งอย่างไม่ไยดี
สาวเจ้าลากสายตามอง ‘เหยื่ออันโอชะ’ ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างดูแคลน
“กะแล้วว่าไม่ได้เรื่อง แต่ไม่คิดว่าจะไม่ได้เรื่องจริงๆ” ว่าจบก็พลิกตัวคลานไปนอนให้เป็นที่เป็นทาง เธอทิ้งสายตาไปยังร่างสูง “ปิดไฟสิ ถ้าทำไม่เป็นก็ไม่ดันทุรังแล้วล่ะ นอนดีกว่า”
“คุณมีสิทธิ์อะไรมาสั่งผม แล้วมาดูถูกแบบนี้ทั้งที่ผมอุตส่าห์ออกมารับคุณเนี่ยนะ คุณมันโคตรไม่มีมารยาทเลยรู้ตัวบ้างไหม”
“ขอบคุณที่บอกค่ะ เพิ่งทราบวันนี้เลยจริงๆ แต่พูดก็พูดเถอะนะ เอื้อดูถูกอะไรตรงไหนมิทราบ พูดตามเนื้อผ้าทั้งนั้นเพราะเท่าที่เห็นก็หน่อมแน้มจริงนิ” สาวเจ้าถอนหายใจทิ้งอย่างหมดอาลัยตายอยาก “นกเขาเคยขันหรือเปล่าก็ไม่รู้ ตายด้านแล้วมั้ง”
แม่พิมพ์ของชาติประสาอะไร นิสัยเสียไม่พอ แล้วก็โคตรปากดี
เขาพยายามประมวลผลด้วยเวลาอันน้อยนิด หนึ่งเลยคืออาภาสินิดื่มไปจริงๆ เขาเห็นกับตาเนื้อ แต่แอลกอฮอล์ไม่น่าจะพรากสติไปได้ทั้งหมด เธอถึงต่อปากต่อคำกับเขาอย่างคล่องปาก รวมไปถึงสายตาที่ใช้มองกันก็ปราศจากความมัวเมา และสอง ผู้หญิงคนนี้คงมีอุบายอะไรสักอย่างถึงได้แสดงท่าทีว่าสนใจเขา ทั้งที่ปกติไม่เคยแลกันสักนิด
แต่จะอะไรก็ช่าง เขาโคตรไม่พอใจที่ถูกหยามเกียรติ
เลปกรนึกอยากสั่งสอนคนอวดดี แทนที่จะปิดไฟก็พาตัวเองไปนอนคร่อมทับร่างระหงในชุดน้อยชิ้น เนินอกขาวผ่องปรากฏสู่สายตา
เขารู้เรื่องเกี่ยวกับอาภาสินีไม่มากนักเพราะไม่เคยอยู่ในความสนใจ แต่ตอนนี้ได้รู้เพิ่มหนึ่งอย่าง...แม่นี่หน้าอกค่อนข้างใหญ่
• ────── ✾ ────── •