บทที่ 28 เจ้าชายน้อยของเจ้าชายน้อย
เสียงกรีดร้องของอาเซน่าดังก้องกังวานอยู่ในถ้ำ ปลุกทุกชีวิตที่กำลังหลับใหลให้ตื่นฟื้น ทั้งม้า ทั้งปัลจี และอัลเลสที่นั่งสัปหงกเฝ้าอยู่หน้าถ้ำ ต่างก็ผุดลุกขึ้นด้วยความตื่นตระหนก
หญิงสาวดึงผ้าขึ้นมาคลุมกายแทบไม่ทันเมื่อองครักษ์ทั้งสองวิ่งหน้าตั้งเข้ามาหาเจ้าชาย ซึ่งถูกดึงเสื้อคลุมเอามาทำเป็นผ้าห่มไปหมดจนเหลือแต่ผ้าเตี่ยวผืนบางปกปิดพระวรกายท่อนล่างไว้อย่างหมิ่นเหม่
“หยุดกรี๊ดเสียทีได้ไหม แก้วหูจะแตกหมดแล้ว!”
“ถือดียังไงมาเปลื้องผ้าหม่อมฉัน! คนฉวยโอกาส!” หญิงสาวตวาดแหวเมื่อเจ้าชายมิได้ทรงทุกข์ร้อน ซ้ำยังนั่งเฉยโชว์เนื้อหนังมังสาอย่างไร้ยางอาย
“ให้พวกกระหม่อม ช่วย อะไรไหมพะยะค่ะ?”
สองทหารเสือประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน ทั้งจงใจนั่งคุกเข่ารอรับคำสั่ง ตีหน้าขรึมเมื่อเห็นเจ้าชายน้อยสุดรักสุดหวงของเจ้าชายน้อยกำลังดื้ออยากจะออกมานอกร่มผ้า
นี่ถ้าอาเซน่าตาดีเหลือบมาเห็นเข้าแล้วลืมตัวทำสิ่งที่ยิ่งกว่าการบริภาษ เจ้าชายที่รักของพวกเขาอาจจะหาความสุขจากเพศรสไม่ได้ตลอดชีวิตเป็นแน่
“เดี๋ยวก็สงบอย่างทุกทีนั่นล่ะ”
“กระหม่อมไม่ยอมให้ใช้น้ำนะพะยะค่ะ ต้องเอาไว้กินตอนเดินทาง จะใช้สุรุ่ยสุร่ายไม่ได้”
“แต่ถ้าไม่ไหว ที่นี่ก็มีโพรงถ้ำหลายแห่งให้พระองค์ได้ระบายเป็นการส่วนตัว” ปัลจีเสริมเพื่อนรักที่แทบจะทนปั้นหน้าเคร่งขรึมไม่ไหวแล้ว
“ดาบของก็ชักอยากจะกินเลือดคนขึ้นมาแล้วเหมือนกัน!” เจ้าชายคำรามในลำคอ
“น่าสงสาร / น่าสงสาร” สองสหายแสร้งทำสีหน้าสลด ก่อนจะก้มหน้าหลบสายตาของเจ้าชายที่ส่งสัญญาณอาฆาตออกมาให้พวกเขาเป็นระยะ
คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างอาเซน่าหน้าซีดลงกว่าเก่า คิดว่าบทสนทนานั้นหมายถึงตัวเธอ ด้วยโกรธจนลืมคิดว่าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า หาใช่คนธรรมดาสามัญ แต่เป็นถึงว่าที่ฟาโรห์องค์ต่อไปของอียิปต์ หากเจ้าชายทรงกริ้วแล้วสั่งให้สองคนนี้จับเธอไปโยนทิ้งในร่องเขา เธอก็คงมีชะตากรรมไม่ต่างอะไรกับโจรพวกนั้น
“กี่ยามแล้วนี่?” เจ้าชายมิได้สนพระทัยร่างบางที่มุดตัวเข้าไปในซอกหิน แต่กลับเสยพระเกศายุ่งๆ ให้พ้นพระพักตร์แล้วถลึงตาใส่สหายทั้งสอง
“ใกล้เช้าแล้วครับ ข้าขอไปดูม้าอีกสองตัวก่อน เมื่อวานเดินทางมาทั้งวันจึงเพลียมาก คืนนี้น่าจะไปต่อได้ถ้าอาการของนางดีขึ้น” อัลเลสปรายตามองคนป่วยที่แอบมองพวกเขาอยู่ใต้เสื้อคลุม แล้วลุกเดินออกไป
สายตาเธอเต็มไปด้วยคำถามมากมาย แต่ปล่อยให้เจ้าชายเป็นคนอธิบายดีกว่า
“ข้าก็จะไปเตรียมของเหมือนกัน เชิญ พวกท่าน ตามสบาย” ปัลจีปลีกตัวออกไปอีกคน
หมดเวลาเสนอหน้าของพวกสู่รู้ เจ้าชายไมเซรินุสจึงดึงผ้าคลุมกาย ปกปิดร่องรอยหลักฐานที่แสดงถึงความพรักพร้อมเข้าสู่สนามรัก ก่นด่าตัวเองในใจที่ไม่สามารถสงบใจตัวเองได้เหมือนทุกที
สมัยแตกเนื้อหนุ่ม...ตอนไปเที่ยวหาความสำราญ ได้เห็นของสวยๆ งามๆ เย้ายวนตา ก็เป็นธรรมดาของชายชาตรีแข็งแรงที่จะต้องมีปฏิกิริยากับสตรีเพศ หากแต่เมื่อถึงเวลาโรมรันฟันตูเข้าจริงๆ ก็ทรงนึกรังเกียจที่จะต้องเกลือกกลั้วกับหญิงที่ไม่ได้รัก
ยอมกักขังตัวเองไว้ในสนามรบ เพื่อรอหญิงที่คู่ควรกับพรหมจรรย์ อาศัยอ่านตำราศึกษาท่วงท่าไว้ก่อนเพื่อมิให้เสียเชิงชายในวันที่ต้องแต่งงาน
ถึงขนาดเจ้าสองตัวนั่นไล่ให้ไปบวชเป็นสังฆราชให้รู้แล้วรู้รอด กลับมาเกิดอารมณ์กับแม่นี่เสียได้
“เจ้าชาย...มีคนส่งม้ามาให้เราหรือเพคะ?”
“ม้า? เปล่านี่...สองคนนั่นไปซื้อมาต่างหาก”
“ซื้อ?...จากกองคาราวานเหรอเพคะ?”
“ไม่มีกองคาราวานไหนผ่านมายังหุบเขานี้หรอก ลูกน้องของเราย้อนกลับไปที่ตลาด ห้อม้าไปกลับสองวันเต็มๆ ระหว่างที่เจ้าสลบอยู่ แต่ก็ได้น้ำและเสบียงมามากพอจะเดินทางไปถึงโอเอซิสข้างหน้า ถ้าไม่โดนปล้นครั้งที่สอง อีกไม่นานเราก็จะได้พบเสด็จพ่อ”
“หม่อมฉัน...หลับไปนานถึงสองวันเลยหรือเพคะ?” หญิงสาวใช้มือลูบหน้าลูบตา ไม่เชื่อว่าจะหลับไปนานขนาดนั้น เพราะรู้สึกว่าตัวเองฝันไปแป๊บเดียว เหมือนคนกึ่งหลับกึ่งตื่นมากกว่า
“นี่เป็นเช้าวันที่สี่ต่างหาก เจ้าหลับไปสามวันสามคืนเต็มๆ แต่คงหลับไม่สนิท เพราะละเมอทั้งคืน” เจ้าชายทรงหันพระพักตร์กลับมา จ้องมองคนในห่อผ้าด้วยความสงสัย
“เราได้ยินหลายคำเกี่ยวกับเสด็จพ่อ ดูเหมือนพระองค์จะมีความลับที่ไม่ต้องการให้ใครรู้ แม้แต่เราซึ่งเป็นลูก”
“เอ่อ...” หญิงสาวหลบสายตา อ้ำๆ อึ้งๆ พูดไม่ออกเพราะไม่รู้ว่าตัวเองเพ้อออกมาแค่ไหน
เจ้าชายทรงหยิบลูกธนูที่ยังมีคราบเลือดเกรอะกรังติดอยู่ออกจากถุงย่าม เดินช้าๆ เข้าหาหญิงสาวประดุจราชสีห์กำลังต้อนเหยื่อ คุกเข่ายื่นมันไปใกล้ดวงตากลมโตที่โผล่พ้นชายผ้า
“ลูกธนูอาบยาชาเข้มข้น ถึงไม่ใช่หมอแต่เราก็รู้ว่ามันทำให้เจ้าขยับตัวไม่ได้เป็นเวลานาน และเพราะพิษไข้ที่ยังเหลืออยู่ เจ้าจึงหลับไปถึงสามวัน แม้อยากจะตื่นก็ตื่นไม่ได้ แต่เพราะร่างกายที่ทดสอบพิษมาแล้วนับไม่ถ้วน ทำให้เจ้าฟื้นเร็วกว่าปกติ ถ้าเป็นคนอื่นๆ พวกเขาจะกลายเป็นเจ้าชายนิทรา เราพูดถูกใช่หรือไม่?”
“เพ...คะ”
เจ้าชายพยักหน้าอย่างพอใจที่สามารถง้างปากเธอออกมาได้ทีละนิด คงเพราะเธอเพิ่งฟื้นจึงยังงงๆ เบลอๆ ถ้าเป็นเวลาปกติ อย่าหวังว่าจะได้ความจริงจากเธอง่ายๆ
“อะไรล่ะอาเซน่า...ที่อย่าให้ใครรู้ อะไรที่เจ้าพร่ำกำชับเสด็จพ่อในความฝัน บอกเรามาสิ...”
“บอกไม่ได้เพคะ”
“ทำไม?”
“หมอต้องมีจรรยาบรรณ ไม่เปิดเผยเรื่องของคนไข้”
“เอาล่ะ ทีนี้เราก็มั่นใจแล้วว่าเสด็จพ่อป่วยจริงๆ”
“อุ๊ย!”
เจ้าชายแค่นยิ้มที่มุมปากเมื่อเห็นหญิงสาวอุทานหน้าเหวอ เธอคงไม่คิดว่าจะถูกเขาตะล่อมถาม จึงดูตกใจทั้งที่ไม่น่าตกใจ
“เจ้าถึงต้องถวายโอสถทุกคืน เสด็จพี่ก็รู้ด้วยสิ? ถึงได้โกหกเราว่านั่นเป็นยาบำรุง”
“นั่นเป็นยาบำรุงจริงๆ เพคะ หม่อมฉันสาบานได้”
“โกหก!” เจ้าชายเอื้อมมือไปจับคางมนบังคับให้เธอเงยหน้าขึ้น “เจ้าถวายยาอะไรให้เสด็จพ่อ พระองค์ถึงได้ทรุดลงๆ ทุกวัน”
“เจ้าชาย!” อาเซน่าหน้าซีด ไม่คิดว่าเจ้าชายจะช่างสังเกตถึงเพียงนั้น จริงอยู่...น้ำหนักของท่านอเมโนฟิสลดลงอย่างต่อเนื่องแต่ก็เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ขนาดคนที่อยู่ใกล้ๆ ยังไม่รู้เลย
โอ๊ย...นี่ถ้าถูกคาดคั้นมากๆ เข้า เธอก็จะต้องบอกเขาจริงๆ น่ะสิ
แต่...ก็ถูกต้องแล้วมิใช่หรือ เจ้าชายมีสิทธิ์ที่จะรู้ ยังไงพระองค์ก็เป็นพ่อลูกกัน
“เจ้าชาย! มีข่าวมาจากบารามอสครับ”
ปัลจีวิ่งเข้ามายื่นจดหมายให้เจ้าชายน้อย ขัดจังหวะขณะพระองค์กำลังคุกคามหญิงสาว นี่เป็นจดหมายตอบกลับหลังจากที่เขาส่งข่าวไปเมื่อสองวันที่แล้ว
“จากหน่วยข่าวกรอง...” เจ้าชายคลี่กระดาษใบเล็กๆ ออกอ่าน หางตายังเห็นหญิงสาวชะเง้อชะแง้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ครั้นทรงเห็นข้อความจากสายที่แฝงตัวอยู่กับพระเชษฐา คิ้วหนาก็ขมวดมุ่น
“มีข่าวอะไรบ้างเพคะ?” อาเซน่าอดถามไม่ได้ เมื่อเห็นสีหน้าแสดงความวิตกกังวลของเจ้าชาย หลังอ่านจดหมายฉบับนั้น
“มีการเคลื่อนไหวอย่างผิดปกติที่เหมือง เสด็จพี่กำลังตรวจสอบอยู่ ส่วนเสด็จพ่อกำลังเดินทางถึงหมู่บ้านซาลา เราอยู่กึ่งกลางระหว่างสองแห่งนั้นพอดี”
“ผิดปกติยังไงเพคะ?”
“ทหารของเราพบอาวุธของชาวบาบิโลเนียที่ถูกซุกซ่อนไว้ใกล้ๆ กับเหมือง เดาว่าจะมีการก่อเหตุปล้นแร่เหล็กที่อยู่ในคลัง ดูเหมือนว่าพวกมันจะพยายามทำให้เรามีพุ่งเป้าไปที่ประเทศบาบิโลเนียอีกแล้ว”
