เทพบุตรซาตาน-3 จุดเปลี่ยน
หลังจากที่คุณหมอเจ้าของไข้เชิญให้ปลิตาและธวัชเข้าไปคุยเกี่ยวกับอาการของสายพิน สองอาหลานจึงพากันเดินตามคุณหมอวัยกลางคนเข้ามาภายในห้องพร้อมกับนั่งลงตรงหน้าคุณหมอเพื่อพูดคุย
“คุณแม่ผมเป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ” ธวัชเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ ไม่ต่างอะไรกับหลานสาวที่นั่งรอฟังคำตอบอยู่เช่นกัน
“ตอนนี้คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วนะครับ แผลที่เหนือคิ้วซ้ายหมอได้เย็บปิดให้แล้ว ส่วนเรื่องสมองไม่มีการกระทบกระเทือนใด ๆ นะครับ แต่คนไข้มีประวัติเคยสะโพกหลุดมาก่อน และครั้งนี้ก็มาเกิดอุบัติเหตุซ้ำที่จุดเดิมจึงทำให้ข้อสะโพกหลุดอีกครั้ง” คุณหมอบอกอาการบาดเจ็บของสายพินให้ทั้งสองได้รับฟัง
“และต้องรักษายังไงคะคุณหมอ แล้วยายจะกลับมาเดิน และใช้ชีวิตปกติได้หรือเปล่าคะ” ปลิตาเอ่ยถามอย่างกังวลใจ
“เนื่องจากคนไข้อายุมากหมอจะทำการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมให้ แต่คนไข้ต้องคอยทำกายภาพอย่างสม่ำเสมอเพื่อที่จะได้ฟื้นตัว และกลับมาเดินได้เหมือนเดิมครับ” หมอวัยกลางคนกล่าว
“และเรื่องค่าใช้จ่ายล่ะครับคุณหมอ” ธวัชเอ่ยถามถึงค่ารักษาของมารดา
“ตอนนี้คนไข้ใช้สิทธิ์การรักษาของรัฐอยู่ แต่การผ่าตัดก็จะมีค่าส่วนต่างที่ต้องจ่ายต่างหากครับ” คุณหมอกล่าว
“ครับ” ธวัชตอบพร้อมกับมีสีหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย
เนื่องจากสถานะทางการเงินในตอนนี้ก็ไม่ค่อยเอื้ออำนวยนัก เพราะลูกชายคนเล็กของเขาสุขภาพไม่ค่อยจะแข็งแรง ป่วยบ่อย มาลีผู้เป็นภรรยาจึงต้องออกจากงานมาเพื่อคอยดูแลลูก จึงทำให้เขานั้นต้องทำงานหารายได้เลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียว ลำพังตำแหน่งผู้จัดการคลับที่ทำอยู่รายได้ยังแทบจะเลี้ยงครอบครัวไม่เพียงพอ ถ้าตนนั้นไม่ได้มีอาชีพเสริมที่เป็นคนสนิทและคนขับรถให้เจ้านายหนุ่มก็คงไม่สามารถที่จะจุนเจือครอบครัวได้เฉกเช่นทุกวนนี้
“ครับหมอ ผ่าได้เลยครับ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนต่างที่หมอบอกไม่มีปัญหาครับ” ธวัชเอ่ยขึ้นจนปลิตาหันมองเขาอย่างงุนงง
“ครับ พรุ่งนี้หมอจะทำการผ่าตัดให้คนไข้เลยนะครับ ยังไงต้องให้คนไข้เตรียมร่างกายก่อนเข้ารับการผ่าตัด”
“ขอบคุณมากครับคุณหมอ” ธวัชยกมือไหว้คุณหมอตรงหน้าโดยที่คุณหมอนั้นก็ไหว้กลับอย่างสุภาพ
“ไม่เป็นไรครับ มันคือหน้าที่ของหมออยู่แล้ว”
เมื่อพูดคุยถึงอาการของสายพินเสร็จ สองอาหลานจึงพากันเดินออกมาจากห้องของคุณหมอ เวลาตอนนี้ก็ปาเข้าไปเกือบตีสี่ ธวัชจึงบอกผู้เป็นหลานว่าให้ไปนอนที่บ้านตน เนื่องจากไม่อยากให้อีกฝ่ายกลับไปอยู่ที่บ้านคนเดียวเพียงลำพังเพราะเป็นห่วง
“อาจะเอาเงินที่ไหนมารักษายายเหรอคะ” ปลิตาเอ่ยถามอาหนุ่มถึงเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้เป็นยายขณะที่อยู่ในรถตอนขับกลับบ้าน
“อามีหนทางแล้วกัน เอ็งไม่ต้องห่วงหรอก และพรุ่งนี้จะไปสอบได้ไหมป่านนี้ยังไม่ได้นอนเลย” ธวัชตอบและเอ่ยถามหลานสาวกลับ ตนนั้นไม่อยากบอกอะไรมาก เพราะไม่อยากให้หลานสาวเป็นกังวลจนสอบไม่รู้เรื่อง ส่วนเรื่องค่ารักษานั้นเขาพอจะมีทางแก้นั่นคือการขอความช่วยเหลือจากผู้เป็นนาย เพราะยังไงมารดานั้นสำคัญที่สุด
“ไหวค่ะ นอนอีกสักชั่วโมงสองชั่วโมงก็ดีขึ้น แต่หนูเป็นห่วงยาย” ปลิตาพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า
“ยายไม่เป็นไรแล้ว พรุ่งนี้กว่าจะผ่าตัดเสร็จและเข้าห้องพักฟื้นก็พอดีกับเวลาที่ป่านสอบเสร็จ ทำหน้าที่ของตัวเองก่อนแล้วค่อยมาเยี่ยมยาย ส่วนเรื่องอื่นอาจัดการเองไม่ต้องกังวล” ธวัชบอกหลานสาวให้คลายกังวลพลางลูบศีรษะเล็กอย่างเอ็นดู
“ค่ะอา” หญิงสาวรับคำ
วันต่อมา
เมื่อคืนตอนที่ขับรถกลับจากโรงพยาบาล ธวัชได้พาหลานสาวแวะไปที่บ้านหลังที่อาศัยอยู่เพื่อเอาเสื้อผ้าและของใช้ต่าง ๆ ปลิตารีบตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปสอบตามปกติ ช่วงบ่ายหลังจากที่สายพินออกจากห้องผ่าตัดจึงถูกนำตัวมาอยู่ที่ห้องพักฟื้น ธวัชและมาลีรวมถึงลูกชายทั้งสองก็รีบรุดมาเยี่ยมดูอาการของมารดาทันทีหลังจากที่ทราบข่าว
“เป็นไงบ้างแม่ ปวดมากไหม?” ธวัชเอ่ยถามมารดาอย่างเป็นห่วง
“ปวด แต่ทนได้ เฮ้อ ~ แม่น่าจะระวังให้มากกว่านี้ ทีนี้เลยพาทำให้ลูกหลานพลอยลำบากกันไปด้วย” หญิงชราบอกอย่างรู้สึกผิด
“ลำบากที่ไหนกันแม่ แม่ไม่ต้องคิดมากหรอก แม่เป็นแม่ผมนะ” ธวัชรีบบอกมารดาพร้อมกับจับมือขึ้นมากุมและและส่งยิ้มบาง ๆ ให้
“แล้วเอ็งเอาเงินที่ไหนมารักษาแม่ ถึงจะมีสิทธิ์รักษา แต่มันก็มีค่าใช้จ่ายที่นอกเหนือจากนั้นอยู่ไม่ใช่เหรอ? เอ็งยิ่งไม่ค่อยจะมีเงินมีทองอยู่ไม่ใช่หรือไง?” หญิงชราเอ่ยถามบุตรชายด้วยความสงสัยและเป็นห่วง
“ผมว่าจะยืมเงินเจ้านายก่อน และค่อยทำงานใช้หนี้เขาเอา เจ้านายผมท่านใจดี” ธวัชตอบผู้เป็นมารดา
“แล้วเอ็งคุยกับเขาแล้วเหรอ เอ็งถึงยอมให้หมอผ่ารักษาแม่เลย แล้วถ้าเจ้านายเอ็งไม่ให้ล่ะ” สายพินถามด้วยความเป็นห่วงปนความกังวล เพราะเธอกลัวว่าถ้าเจ้านายลูกชายไม่ช่วยเหลือเขาจะหาเงินที่ไหนมาจ่าย
“แม่ไม่ต้องห่วงหรอก เจ้านายผมเขาใจดี คืนนี้ผมจะเข้าไปคุยกับเขาตอนไปทำงาน” ธวัชบอกมารดาและที่ยังไม่ได้คุยกับเจ้านายหนุ่ม เพราะตนไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อนของเจ้านาย เพราะรู้ว่าตอนนี้เจ้านายหนุ่มของตนนั้นอยู่ในอารมณ์ไหนรอเวลาไปทำงานและไปคุยต่อหน้าทีเดียวเลยดีกว่า
ปลิตารีบมาหายายที่โรงพยาบาลหลังจากสอบเสร็จ และเมื่อเข้ามาถึงห้องพักฟื้นหญิงสาวจึงบังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างยายและอา หลังจากที่เธอหยุดยืนฟังอยู่เงียบ ๆ โดยที่ทุกคนไม่ทันได้เห็นหรือสังเกตเพราะมัวแต่คุยกันอยู่ ความคิดที่อยากจะช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษายายจึงผุดขึ้น เธอจึงรีบเอ่ยถามอาหนุ่มออกไปทันทีตามความคิด
“อาวัชคะ หนูขอไปทำงานกับอาด้วยได้ไหม”
“อ้าว~ป่านสอบเสร็จแล้วเหรอลูก” สายพินทักหลานสาวโดยที่อีกฝ่ายนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปกอดร่างอวบท้วมที่นอนอยู่บนเตียง
“ยายจ๋า ยายเจ็บมากไหม? แล้วเป็นไงบ้าง หนูกลัวที่สุดเลย กลัวยายจะเป็นอะไร” บอกพลางมีน้ำใส ๆ เริ่มเอ่อคลอหน่วยตา
“ยายไม่เป็นอะไรแล้ว เอ็งอย่าร้องไห้งอแงเป็นเด็กสิเจ้าป่าน” สายพินพูดพร้อมลูบศีรษะเล็กทุยของหลานสาวเบา ๆ
“ฮึก...ฮือ... ก็หนูกลัว หนูรักยาย” ปลิตาไม่หยุดร้องแต่กลับปล่อยโฮออกมา เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นยาย
“เออ ๆ ยายก็อยู่นี่ไงหยุดร้องได้แล้ว” เมื่อได้ยินดังนั้นปลิตาก็พยักหน้ารับและใช้หลังมือปาดน้ำตา แล้วหันไปมองหน้าผู้เป็นอาพร้อมกับเอ่ยถาม
“อาวัชคะ ให้หนูไปทำงานด้วยนะ หนูอยากช่วยอาใช้หนี้ อีกอย่างยายเจ็บแบบนี้คงร้อยมาลัยไม่ได้ และเมื่อกี้หนูไปเจอน้ามาลีหน้าห้องน้ำ น้ามาลีบอกว่ายายกับหนูต้องไปอยู่ที่บ้านอาวัชก่อน เพราะยายต้องมีคนดูแลและคอยทำกายภาพ น้ามาลีต้องอยู่บ้านดูแลหลานกับยายอยู่แล้ว งั้นหนูขอไปทำงานกับอาได้ไหมคะ” ปลิตาเอ่ยขอร้องผู้เป็นอา เพราะอยากช่วยแบ่งเบาภาระ
“แต่เอ็งยังเรียนอยู่ และอายุก็ยังไม่ถึง อีกอย่างสถานที่แบบนั้นมันไม่เหมาะกับเอ็งนะสายป่าน” ธวัชอธิบายให้หลานสาวได้ฟัง
“หนูรู้ค่ะอา ให้หนูไปอยู่ในตำแหน่งไหนก็ได้ หนูรู้ว่ามันเป็นสถานที่แบบไหน เด็กเสิร์ฟก็ได้นะอาดีกว่าอยู่เฉย ๆ พรุ่งนี้หนูก็สอบวันสุดท้ายแล้ว อีกแค่สองเดือนหนูก็อายุครบยี่สิบแล้ว นะอานะ ให้หนูไปช่วยทำงานเถอะนะ” หญิงสาวอ้อนแกมขอร้องผู้เป็นอา เพราะตนนั้นอยากจะทำงานช่วยแบ่งเบาภาระของผู้เป็นอาจริง ๆ
...เฮ้อออ…
ธวัชถอนหายใจให้กับคำพูดของหลานสาวซึ่งเขานั้นไม่อยากให้หลานสาวเข้าไปอยู่ในสถานที่แบบนั้น เพราะเขารู้ดีว่ามันเป็นยังไง อีกอย่างเขาเป็นห่วงหลานสาวเพียงคนเดียวมากจึงพยายามที่จะปฏิเสธ แต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้พูดจาหว่านล้อมแถมยังให้มารดาและภรรยาช่วยขอให้พาไปทำงานกับตนอีกด้วย จนตัวเขานั้นต้องยอมแพ้ และยอมรับปากว่าจะฝากงานให้หลานสาวที่ไนต์คลับตามที่เธอนั้นต้องการ และเหตุผลสำคัญอีกอย่างคือเมื่อครู่ที่ผ่านมาเจ้านายหนุ่มต่อสายมาหาตนว่าให้รีบหาพนักงานใหม่มาแทนชุดเก่าที่โดนไล่ออก เนื่องจากขโมยของในคลับไปขายโดยด่วน เพราะช่วงนี้ลูกค้าค่อนข้างเยอะ อย่างน้อยปลิตาคือหลานสาวตนจึงมั่นใจว่าหลานสาวไม่มีทางที่จะทำแบบนั้นเด็ดขาดและยังไว้ใจได้
ช่วงค่ำธวัชเข้าไปทำงานที่ไนต์คลับคลับตามปกติ และคอยสั่งงานลูกน้องตรวจดูความเรียบร้อยต่าง ๆ พร้อมกับดูแลเจ้านายหนุ่มที่ตอนนี้ยังไม่ฟื้นตื่นจากความเมา และเมื่อรู้ว่าเจ้านายหนุ่มของตนตื่นแล้วธวัชจึงรีบเอ่ยขอเข้าพบเพื่อคุยธุระ
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก...
“เชิญ” เสียงเข้มเอ่ยอนุญาต
“ขออนุญาตครับบอส”
“ว่า” นักรบเอ่ยถามน้ำเสียงเรียบ
“คือผมจะมาบอกเรื่องพนักงานเสิร์ฟคนใหม่ครับ คือเอ่อ”
“มีอะไรก็พูดมา” นักรบบอกเมื่อเห็นว่าคนสนิทมีท่าทางอึกอัก
“คือพนักงานใหม่ที่ผมจะบอกคือว่าเขาเป็นหลานสาวของผมเองครับ ชื่อว่าสายป่าน พอดีหลานผมอยากหางานทำครับ ผมรับรองว่าหนูป่านไว้ใจได้ครับ” ผู้จัดการวัยกลางคนบอกและรอฟังคำตอบจากเจ้านายหนุ่ม
“อืม คุณรู้ใช่ไหมว่าถ้าเกิดปัญหาอะไรคุณต้องรับผิดชอบ เพราะคุณเป็นคนเอ่ยขอรับรองบุคคลนี้” นักรบบอกพลางยกขาขึ้นไขว่ห้างพร้อมกับเอนตัวพิงพนักโซฟาพ่นควันบุหรี่
“ผมรับรองครับ แต่ว่าสายป่านพึ่งจะอายุสิบเก้ายังไม่ยี่สิบเต็ม บอสจะว่ายังไงครับ เพราะว่าหลานของผมอายุยังไม่ผ่านเกณฑ์” ธวัชเอ่ยถามพร้อมกับสีหน้าเครียดขึ้นเล็กน้อย
“อีกกี่เดือนถึงจะครบ”
“สองเดือนครับ”
“อืม พรุ่งนี้ให้มาเริ่มงานส่วนเรื่องอายุไม่ต้องเป็นห่วง จบธุระของคุณแล้วใช่ไหม ถ้าใช่ก็เชิญผมอยากอยู่เงียบ ๆ” เมื่อบอสหนุ่มตกลงที่จะรับหลานสาวเข้าทำงาน ธวัชจึงรีบเอ่ยขอบคุณเจ้านายหนุ่ม และรีบออกจากห้องตามคำสั่งทันที เมื่อคนสนิทออกไปแล้วนักรบจึงหลับตาแล้วเอนตัวพิงโซฟาพร้อมกับหลับตาลงเพื่อผ่อนคลาย และปล่อยวางกับเรื่องที่ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของตนตอนนี้
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก
“บอสครับ ผมอนุญาตอีกครั้งครับ” ธวัชพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลจนบอสหนุ่มรู้สึกได้จึงรีบอนุญาตให้เขาได้เข้ามา
“เชิญ”
“คือผมมีเรื่องจะรบกวนบอสครับ”
“ว่ามาครับ” นักรบยกมวนบุหรี่อัดควันขาวเข้าปอดอีกครั้งพร้อมกับยกแก้วบรั่นดียกขึ้นจิบอย่างใจเย็น
“คือว่าแม่ผมเกิดอุบัติเหตุจนต้องเข้าผ่าตัดด่วน ซึ่งแม่ผมมีสิทธิ์การรักษาอยู่ แต่มันมีค่าส่วนต่างที่ผมต้องออกเองคือผมอยากจะ”
“เท่าไร” นักรบถามขึ้นอย่างไม่ลังเลถึงแม้ว่าคนสนิทของเขายังพูดไม่จบ แต่เขาก็พอที่จะเดาได้อยู่แล้วว่าธวัชต้องมีเรื่องสำคัญที่อยากจะคุยกับเขานอกจากเรื่องพนักงานใหม่แน่นอน เพราะเขารู้นิสัยคนสนิทดี
อดีตธวัชเคยเป็นคนสนิทของบิดา แต่พอเขาเข้ามารับช่วงดูแลกิจการต่อ ธวัชจึงกลายมาเป็นคนสนิทของตน ธวัชเป็นทั้งผู้จัดการร้าน และผู้จัดการเรื่องส่วนตัวต่าง ๆ ของตน ทั้งยังทำงานดีแถมรู้ใจทุกเรื่อง คอยเป็นทั้งมือทั้งสมองให้ตนมาตลอด แต่ธวัชนั้นก็ไม่เคยปริปากเอ่ยขอความช่วยเหลือใด ๆ จากตนเลยสักครั้งถึงแม้ว่าเขาจะมีปัญหาอะไรก็ตาม แต่นี่คงจะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีทางที่จะมาขอร้องให้ช่วยแน่นอน
“หนึ่งแสนครับ” ที่จริงแล้วค่าส่วนต่างมันไม่ได้จำนวนมากขนาดนี้ แต่ที่บอกไปแบบนี้ เพราะตัวธวัชนั้นมองว่าไหนจะค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีก รวมทั้งมารดาตนนั้นยังต้องทำกายภาพ และต้องคอยพบหมอตลอดเวลา ซึ่งมันก็มีค่าใช้จ่ายเขาจึงได้บอกเผื่อไว้
นักรบไม่พูดอะไรได้แต่พยักหน้ารับและหันไปเปิดลิ้นชักหยิบเอาเช็กเงินสดขึ้นมาเขียนและยื่นให้คนสนิททันที
“ไม่ต้องยืมหรือเบิกอะไรทั้งนั้น ฉันให้ คิดซะว่าเป็นโบนัสที่คุณอยู่กับผมมานาน” นักรบบอกพร้อมกับโบกมือเป็นสัญญาณบอกว่าให้ออกไปได้แล้วเพราะเขาอยากอยู่ลำพัง
ธวัชเมื่อเห็นตัวเลขในเช็คเงินสดเขาก็อยากจะเอ่ยค้าน แต่เมื่อเห็นเจ้านายหนุ่มส่งสัญญาณให้ออกจากห้อง ตนก็ได้แต่น้ำตาซึมพร้อมกับโค้งกายอย่างสุภาพก่อนจะเดินออกจากห้องไปตามคำสั่ง
หลังจากที่ธวัชเลิกงานชายหนุ่มจึงรีบกลับบ้าน และเมื่อมาถึงเขาจึงเรียกหลานสาวเข้ามาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องงานที่อีกฝ่ายได้ขอไปทำด้วย
“สายป่านพรุ่งนี้เริ่มงานได้เลยนะ เดี๋ยวอาจะแนะนำบอสให้รู้จัก”
“จริงเหรอคะอา”
“จริงสิ”
หญิงสาวยิ้มออกมาอย่างดีใจที่จะได้ทำงานช่วยอาแบ่งเบาภาระ โดยที่เธอนั้นไม่รู้เลยว่าการทำงานครั้งแรกครั้งนี้คือจุดเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ไปตลอดชีวิต