1. มองในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง
"แป้ง! เสร็จหรือยังลูก พี่ยุกับวามาแล้ว"
เสียงตะโกนเรียกลูกสาวของหญิงวัยกลางคนดังที่ชั้นล่างของบ้าน ก่อนจะมีเสียงปิดประตูดังตึ้งจากชั้นสองจากน้ำมือของเจ้าของชื่อ
"เสร็จแล้วค่า!"
เสียงหวานตะโกนลงมาจากชั้นบนโดยที่ยังไม่เห็นตัวคนพูดด้วยซ้ำ ทั้งเสียงปิดประตูเสียงดังและการตะโกนตอบกลับบ่งบอกถึงนิสัยของเธอว่าไม่ได้เรียบร้อยสมเป็นกุลสตรี แต่คนที่รับรู้การตะโกนโหวกเหวกของเธอก็ชินกันหมดแล้วว่าแป้งร่ำไม่ใช่ผู้หญิงเรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้เหมือนเพื่อนของเธอที่แม่ของเธอเพิ่งเอ่ยชื่อไป
"ดูเอาเถอะยุ วา ลูกน้าโตเป็นสาวเป็นนางแล้วก็ยังกระโดกกระเดก แล้วชาตินี้น้าจะมีลูกเขยกับเขาไหมเนี่ย" นาตยาถอนหายใจเบา ๆ แล้วหันไปหาสองชายหญิงรุ่นลูก ที่ทั้งคู่สละเวลามาเป็นธุระเรื่องการย้ายถิ่นอาศัยของลูกสาวเพียงคนเดียวของเธอ
"น้านาตไม่รู้อะไร ที่มหาวิทยาลัยแป้งมีหนุ่มมาจีบเพียบเลยนะคะ" วาวีที่เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันพูดขึ้นราวจะฟ้องแม่เพื่อนกลาย ๆ แต่ที่เธอพูดก็เป็นเรื่องจริงเพราะรูปร่างหน้าตาของเพื่อนของเธอนั้นดึงดูดเพศตรงข้าม โดยที่ไม่ต้องลงทุนหว่านเสน่ห์ก็มีหนุ่มแวะเวียนมาขายขนมจีบไม่ขาด
วาวีไม่ได้สังเกตเลยว่าขณะที่เธอพูดทีเล่นทีจริงอยู่นั้น สีหน้าของพี่ชายเธอนั้นเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงเพียงใด
"นินทาอะไรฉันยัยวา" และแล้วบุคคลที่เป็นหัวข้อสนทนาก็เดินลงบันไดมาถึงชั้นล่าง หญิงสาวร่างกายอรชรสมสัดส่วนที่อยู่ในชุดเสื้อยืดพอดีตัวสีครีมและกางเกงยีนเข้ารูปสีเข้มหิ้วกระเป๋าใบโตด้วยมือสองข้างมาด้วย จึงทำให้เธอต้องเอนตัวนิด ๆ ไปทิศตรงกันข้ามกับกระเป๋าเพื่อถ่วงเอาไว้
"ฉันฟ้องน้านาตว่าแกมีหนุ่มมาจีบ ไม่นานแกก็อาจจะมีแฟน" วาวียิ้มเย้ยเพื่อนรักที่ได้ใส่สีตีไข่เพื่อน
"จะมีแฟนแม่ไม่ว่า แต่อย่าให้เสียการเรียนนะลูก" นาตยาเตือนลูกสาวเสียงเครียด ไม่ได้กีดกันหากลูกสาวจะมีแฟนแต่ก็ต้องเตือนสติกันหน่อยว่าตอนนี้หน้าที่ของแป้งร่ำนั้นคือการเรียน
"แม่อย่าไปเชื่อยัยวาสิ หนูไม่อยากหาห่วงมาผูกคอ ตัวคนเดียวสบายดีจะตาย" แป้งร่ำรีบแก้ข้อกล่าวหาให้ตัวเอง วางกระเป๋าที่ถือมาลงที่พื้นก่อนจะชี้หน้าคาดโทษวาวี ปลายตาสวยไปมองพี่ชายของเพื่อนก็เห็นว่าเขานั้นมีสีหน้าเคร่งเครียด
'สงสัยพี่ยุจะมีเรื่องให้คิด น่าจะเป็นเรื่องงานล่ะมั้ง'
"คิดผิดหรือคิดถูกที่ให้ไปอยู่หอพักเนี่ย" นาตยาบ่นพึมพำอย่างคิดหนัก
เพราะที่นี่ไกลจากมหาวิทยาลัยพอสมควรแป้งร่ำจึงขอพ่อและแม่ไปเช่าหอพักอยู่ และตอนนี้ขึ้นปีสามแล้วงานที่อาจารย์สั่งก็เยอะขึ้น กว่าจะเดินทางกลับถึงบ้านและทำงานก็เสียเวลาไปพอสมควร เธอจึงคิดว่าออกไปเช่าหอพักใกล้ ๆ มหาวิทยาลัยจะดีกว่า ที่สำคัญก็มีวาวีออกไปพักอยู่ด้วย ทั้งคู่อยู่ตึกเดียวกันแต่อยู่กันคนละห้องเพื่อความเป็นส่วนตัว ไม่เช่นนั้นพ่อและแม่ของเธอคงไม่อนุญาต
วันนี้เป็นวันย้ายเข้าหอ วายุจึงถูกแม่เรียกให้มารับน้องสาวไปส่งที่หอ และไหน ๆ แป้งร่ำก็อยู่ที่เดียวกันเขาเลยมารับไปด้วย
"นั่นสิครับ จะพากันเกเรไหม" วายุที่ฟังอยู่นานพูดขึ้น มองไปทางน้องสาวแล้วลากสายตาคมกริบไปหาสาวน้อยหน้าหวานที่ยืนอยู่ข้างแม่ของเธอ ด้วยต้องการจะดุทั้งวาวีน้องสาวและแป้งร่ำเพื่อนเธอกลาย ๆ ที่ปีกกล้าขาแข็งออกไปอยู่ตามลำพัง ที่สำคัญทั้งพ่อและแม่ก็ยอมด้วยสิ ไม่รู้ว่าเจอลูกอ้อนอะไรไปบ้าง ลูกคนเล็กแถมเป็นลูกสาวพ่อก็เลี้ยงแบบตามใจเสียเหลือเกิน
"พี่ยุอย่ามาว่าหนู หนูออกจะเป็นเด็กดี" วาวีค้อนให้พี่ชายที่บังอาจมาดูถูกเธอ ถ้าจะมีแฟนเธอมีไปนานแล้ว เพราะเธอก็เสน่ห์แรงหัวกระไดไม่แห้งพอ ๆ กับแป้งร่ำนั่นล่ะ
"เราไปกันดีกว่าวา หนูไปก่อนนะคะแม่ แม่ไม่ต้องห่วงหนูจะกลับบ้านทุกวันหยุดเลย" แป้งร่ำที่เห็นว่าสองบุคคลที่อายุเยอะกว่าเริ่มจะจับผิดพวกตนจึงได้รีบเปลี่ยนเรื่อง พูดชวนเพื่อนและหันไปหาผู้เป็นแม่กอดเอวอวบอย่างออดอ้อนเพราะกลัวว่าท่านจะเปลี่ยนใจ
ถึงวายุจะเป็นพี่ชายแต่อายุก็ห่างจากพวกเธอถึงสิบกว่าปี จึงทำให้แป้งร่ำรู้สึกเกรงเขาอยู่เหมือนกัน วาวีนั้นเป็นลูกหลงที่ทะลุยาคุมมาเกิดจึงทำให้มีอายุห่างจากพี่ชายมากโข
"เอาเงินไปใช้ อาทิตย์หน้าถ้าไม่กลับบ้านแม่ไม่โอนให้นะ ต้องกลับมาเอาด้วยตัวเอง เดี๋ยวพ่อจะคิดถึงลูกสาวจนตรอมใจ" นาตยายิ้มอ่อนให้ลูกสาวจอมขี้อ้อนพร้อมกับล้วงเงินที่เตรียมไว้สำหรับค่าใช้จ่ายของลูกสาวแล้วส่งให้ ส่ายศีรษะอ่อนใจเมื่อลูกสาวรีบปล่อยเอวแล้วรับเอาเงินไปอย่างรวดเร็วราวกับว่าเห็นเงินดีกว่าแม่ตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
"ขอบคุณค่ะ หนูกลับแน่" แป้งร่ำยิ้มกว้างทะเล้นถูกใจก่อนจะพนมมือไหว้ขอบคุณแม่ผู้ใจดีของตน
"พี่ถือให้" วายุพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาเดินทางได้แล้ว เพราะเขามีงานอีกสองชั่วโมงต่อจากนี้ประเดี๋ยวจะไม่ทันการ มือหนาเอื้อมไปหยิบหูกระเป๋าแล้วหิ้วขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว ด้วยเพราะเขาชอบออกกำลังกาย ร่างกายจึงเต็มไปด้วยมวลกล้ามเนื้อแข็งปั๊ก กระเป๋าที่แป้งร่ำหิ้วด้วยมือสองข้างเขาจึงยกด้วยด้วยแขนข้างเดียวอย่างสบาย ๆ
"ไม่เป็นไรพี่ยุ หนูถือเองได้" แป้งร่ำรีบปฏิเสธน้ำใจพี่ชายของเพื่อน ปรี่เข้าไปคว้าหูกระเป๋าตั้งใจจะแย่งมาถือเอง จึงทำให้เธอคว้ามือแกร่งไปด้วย
"กระเป๋าหนักพี่ถือให้" วายุเอ่ยเสียงเรียบแล้วยื้อกระเป๋ากลับจนฝ่ามือนุ่มหลุดไปจากหลังมือ
ใต้ความนิ่งเฉยของวายุ ไม่มีใครรู้หรอกว่าตอนนี้ใจแกร่งนั้นเต้นตึกตักเพียงใดหลังจากที่สัมผัสกับฝ่ามือนุ่มของหญิงสาว ที่วายุคิดว่าเธอเป็นน้องสาวอีกคนนอกจากวาวี แต่ไม่รู้ว่าเขาเริ่มมองเธอในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ใช่น้องสาวตั้งแต่ตอนไหน พอมาสัมผัสความนุ่มของมือน้อยจึงทำให้เขาใจเต้นแรงจนแทบจะระเบิดแบบนี้
"เอางั้นก็ได้" แป้งร่ำที่ไม่สามารถแย่งกระเป๋าคืนมาได้จึงได้ยิ้มหวานให้ชายผู้ให้บริการรูปหล่อ
"ให้พี่ยุถือให้น่ะดีแล้ว เรามันผู้หญิงบอบบาง" วาวีพูดกับเพื่อนอย่างร่าเริงที่มีคนมาบริการ
"น้านาตคะ วันเสาร์เดี๋ยวพวกหนูกลับมา หนูขอมาฝากท้องสักมื้อนะ" ก่อนวาวีจะหันไปหาญาติผู้ใหญ่ที่เธอสนิทและให้ความเคารพเหมือนเป็นญาติแท้ ๆ คนหนึ่ง เพราะตั้งแต่เด็ก ๆ เธอก็ไปมาหาสู่กับบ้านนี้ประจำอยู่แล้ว
"ได้สิ อยากกินอะไรกันก็โทรมาบอกก่อนล่ะน้าจะได้เตรียมไว้ให้" นาตยายิ้มอบอุ่นให้หญิงรุ่นลูกที่เหมือนกับว่าเธอเป็นลูกสาวของบ้านนี้อีกคน
หลังจากที่ร่ำลากันแล้ว สองเพื่อนซี้ก็เดินออกจากบ้านเพื่อที่จะไปยังรถอเนกประสงค์คันโตของวายุ ที่เจ้าของนั้นเดินออกมาก่อนและยกกระเป๋าของแป้งร่ำเก็บที่หลังรถแล้วเรียบร้อย
.........................
เริ่มตอนแรกลุงก็คิดไม่ซื่อละ 55555