2 เราจะเอายังไงกันดี
กว่าวาสนากับลูกสาวจะกลับมาจากโรงพักก็เป็นเวลาเย็น ตอนนี้หน้าร้านมีแต่ร่องรอยความเสียหายหญิงสาวมองแล้วถอนหายใจ เพราะร้านนี้เป็นแหล่งรายได้เดียวของครอบครัว ซึ่งมีเธอกับมารดาช่วยกันขายมานานหลายปี
“แม่คะ เราจะเอายังไงกันดี”
“แม่ก็คิดไม่ออกเหมือนกันลูก” วาสนาถอนหายใจ ข้าวของที่เสียหายไปนั้นเป็นจำนวนเงินไม่น้อยเลย แล้วเธอจะหาเงินที่ไหนมาเริ่มต้นใหม่กัน ลำพังเงินสำรองที่เก็บไวนั้นก็ไม่มากมายนัก เธอยังต้องส่งเสียให้ลูกสาวได้เรียน ตอนนี้ญารินดาพึ่งจะจบ ม.6 และกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยในปีนี้ แม้ว่าการกู้เงินจากกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่เธอกู้มาตั้งแต่ชั้น ม.4 จะช่วยได้ มันก็ไม่พอค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ตามมาอีกมาก ครั้นจะไปหยิบยืมคนอื่นก็มองไม่เห็นทาง แล้วปัญหาที่หนักกว่านั้นก็คือคืนนี้เธอกับลูกจะไปนอนที่ไหน
“เราเอาเงินเก็บมาซ่อมก่อนดีไหมคะแม่”
“นั้นมันเป็นเงินที่หนูต้องใช้เรียนนะกอหญ้า”
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ หนูยังไม่เรียนก็ได้ เอาไว้มีเงินค่อยไปลงเรียนภาคค่ำ”
“แม่ว่าเราขายร้านทิ้งเลยดีไหมลูก ขายที่ดินด้วยเลย แล้วไปเช่าห้องอยู่ แม่ว่าจะไปหางานทำรับจ้างทั่วไปก็ได้”
“แม่คะ นี่เป็นที่ดินผืนเดียวที่เราเป็นเจ้าของนะคะแม่”
“กอหญ้า ถ้ามันจำเป็นก็คงต้องขาย แม่ไม่รู้ว่าค่าเสียหายที่เรียกร้องไปนั้นจะได้ตอนไหน แล้วระหว่างนี้เราสองแม่ลูกจะอยู่กันยังไง”
วาสนาบอกลูกสาว แม้ที่ดินจะเป็นสมบัติชิ้นสุดท้าย แต่ถึงคราวจำเป็นก็คงต้องยอมขายให้คนอื่น
“หนูว่าจะลองคุยกับคนขับรถดูไหมคะแม่ บางทีเขาอาจช่วยเราได้บ้าง ถ้ารอให้เป็นไปตามกระบวนการหนูว่ามันคงช้ามากแน่”
ทั้งสองคนกำลังนั่งปรึกษากันก็มีรถกระบะสี่ประตูคันหนึ่งเข้ามาจอด
ผู้หญิงวัยไม่น่าจะเกิน 40 ปีเดินลงมาด้วยท่าทางเป็นมิตร สายตามองไปรอบๆ ก่อนจะตรงมายังสองแม่ลูก
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อพร เป็นเจ้านายของคนที่ขับรถชนร้านของคุณ” เธอแนะนำตัวอย่างสุภาพ
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อกอหญ้า นี่แม่ของหนูชื่อแม่วาสเราสองคนเป็นเจ้าของร้านค่ะ”
“ฉันต้องขอโทษหนูกับแม่ด้วยนะที่คนงานของฉันทำให้ร้านของพวกคุณมีสภาพแบบนี้ เรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของทางเรา ฉันเลยจะขอมารับผิดชอบ”
“แล้วตำรวจว่ายังไงบ้างคะ”
“เรื่องนั้นก็คงปล่อยไปตามเรื่องนั่นแหละ คงต้องใช้เวลา เรื่องค่าเสียหายถ้ารอให้ศาลตัดสินฉันว่ามันคงไม่ดีเท่าไหร่ อย่าหาว่าฉันดูถูกเลยนะ ฉันเองก็เคยเป็นคนหาเช้ากินค่ำมาก่อนก็เลยเข้าใจดี”
“ค่ะ หนูขอบคุณคุณมาก”
“เสียหายเยอะเลย แล้วคิดไว้ว่าจะเอายังไงต่อคะ คุณ”
“เรียกพี่วาสก็ได้นะคะ”
“ค่ะ พี่วาส เรียกแบบนี้จะได้คุยแบบเป็นกันเองหน่อย หนูด้วยนะกอหญ้าเรียกฉันว่าน้าพรก็ได้”
“พี่ขอเรียกว่าคุณพรนะคะ” วาสนาเรียกอย่างให้เกียรติ เพียงพรส่งยิ้ม
“รถค่อนข้างหนักเพราะบรรทุกปุ๋ยมาเต็มคันรถ เลยบังคับยาก เห็นว่าพุ่งชนอย่างแรงเลย แล้วเจ็บตรงไหนกันหรือเปล่า”
“หนูกับแม่ไม่เป็นอะไรค่ะ มีแต่ลุงเหมือนลูกค้าที่มานั่งทานข้าว เจ็บเยอะกว่าคนอื่น ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลค่ะ”
“ตายจริง พี่ไม่รู้เลย จะไปเยี่ยมตอนนี้จะทันไหม”
“หนูว่าคงไม่ทันแล้ว น้าพรไปพรุ่งนี้ก็ได้ค่ะ หนูเองก็จะไปเยี่ยมลุงแกอยู่เหมือนกันค่ะ”
“ดีเลย เราไปพร้อมกันนะ น้าจะแวะมารับ” เพียงพรไม่อยากไปคนเดียวจึงรีบบอกกับหญิงสาว
“ค่ะ น้าพร”
“แล้วคืนนี้กอหญ้ากับพี่วาสจะไปนอนกันที่ไหน” เพียงพรมองความเสียหายอย่างละเอียดเลยเห็นว่าตอนนี้ทุกอย่างดูเละเทะเกินจะอยู่อาศัยได้
“เรื่องนี้เรากำลังคุยกันอยู่ พอดีคุณเดินเข้ามาเลยยังไม่ได้สรุปว่าจะเอายังไงกันดี”
“ถ้าไม่รังเกียจ พรว่าพี่วาสกับหนูกอหญ้าไปพักที่บ้านก่อนก็ได้ที่นั่นมีหลายห้อง”
“ไม่เป็นไรค่ะน้าพร หนูเกรงใจ”
“ยังต้องเกรงใจอะไรกัน คนของน้าทำเรากับแม่เดือดร้อนอย่างนี้ แล้วที่นั่นก็มีห้องหับตั้งเยอะแยะ”
“แม่ว่าก็ดีเหมือนกันนะลูก พักสักคืน ส่วนพวกข้าวของพวกนี้ค่อยมาจัดการทีหลังก็ได้ คืนนี้ไปพักกันก่อนดีไหม”
“ค่ะ” ญารินดากับมารดารีบเก็บของใช้ที่จำเป็นซึ่งมีกันคนละไม่มากเท่าไหร่
“กอหญ้า ยังเรียนอยู่เหรอจ๊ะ” เพียงพรเห็นหญิงสาวสาวถือหนังสือเรียนติดมือมาด้วย
“พึ่งจบ ม.6 ค่ะ ตอนนี้กำลังจะขึ้นปีหนึ่ง แต่คงต้องหางานทำก่อน”
“เพราะเรื่องร้านใช่ไหม”
“ค่ะน้าพร”
“อย่ากังวลเลย น้าจะส่งกอหญ้าเอง” ความรู้สึกผิดบวกกับได้คุยกับสองแม่ลูกแล้วรู้สึกถูกชะตาทำให้เพียรพรพูดออกไปแบบนั้น
“คุณพรไม่ต้องรับผิดชอบเราสองแม่ลูกขนาดนั้นหรอกนะคะ มันมากเกินไป”
“ไม่มากหรอกค่ะพี่วาส ข้าวของพวกนี้เสียหายไปมาก คงทำให้พี่ไม่ได้เปิดร้านอีกนาน”
“เรื่องนี้คงคุยกันยาว เราไปคุยกันที่บ้านดีกว่านะคะ ส่วนที่ร้านเดี๋ยวพรจะให้คนงานมานอนเฝ้าสัก 2 คน”
“ไม่ต้องเฝ้าหรอกค่ะ เราไม่ได้มีของมีค่าอะไร”
“ของไม่มีค่าก็จริงแต่พวกขโมยมันก็ไม่เลือกหรอกนะ อะไรที่ขายได้พวกมันก็ขนเอาไปหมด”
วาสนาเห็นด้วยกับเพียงพร เธอกล่าวขอบคุณแล้วจึงยอมตามขึ้นรถไปกับ