ตอนที่ 2 นามบัตร
“คาดเข็มขัดด้วย” เขาพูดโดยไม่มองเธอ
“อ่อ ค่ะ ๆ”
รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากปั๊มน้ำมัน ถนนเส้นตรงของทางเลี่ยงเมืองมีแต่ป่าหญ้า คันเร่งถูกเหยียบลง และคนขับจ้องมองฝ่าความมืด
ฟิ้วววววว!!!!!
“แม๊!!!!”
ดีที่เขาไม่สนใจเสียงอุทานนี้ และยังควบคุมยานพาหนะพลังเกือบพันแรงม้าต่อไป ส่วนฟ้ารินกอดสายเข็มขัดนิรภัย นั่งหลังติดเบาะหนังที่รองรับสรีระผู้โดยสารตั้งแต่ทรงศีรษะมาที่แผ่นหลัง จนถึงสะโพกได้อย่างดี
ภายในรถ เมื่อความเงียบเกิดขึ้น และความง่วงหายไปหมด มีแต่ความตื่นเต้น ระทึกใจกับรถ ระทึกขวัญกับคนข้าง ๆ ฟ้ารินเริ่มล่อกแล่กลอบมองคนขับเป็นระยะ
“เธอหนีอะไรมา” เขาถาม
“เปล่าค่ะ แค่อยากท่องเที่ยว”
“แบบไปเช้าเย็นกลับเหรอ” คำพูดที่ไม่เหมือนคำถาม ทำให้อีกคนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
“พี่เป็นอะไรกับอีกคนที่หน้าเหมือนกัน พี่น้องหรือฝาแฝด” เธอเอ่ยถามเขาบ้าง
“บอกไม่ได้” เขาตอบด้วยเสียงราบเรียบอีกครั้ง
“ขอบคุณนะคะที่ให้ติดรถมา” เธอเอ่ยขึ้น
“เคยคิดมั้ย ว่าอันตรายมันอยู่แค่เอื้อมนี่เลย” คนขับรถเอื้อมมือมาตรงลำคอระหง จนร่างบางสะดุ้ง
แม้เขาไม่ได้แตะต้องหรือโดนกายเธอ เพราะมือใหญ่ยักษ์นั่นกางออกเหมือนคีมหนีบแล้วชักกลับไปที่เดิม แต่เธอกลับผวาจนหน้าซีดราวกับเงาดำใหญ่ที่พุ่งเข้ามานี้ เคยเกิดขึ้นกับเธอมาแล้ว
“ระ…รู้ค่ะ” เรียวปากเล็กสั่นระริก พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง แต่ดวงตาไม่สามารถซ่อนความประหวั่นพรั่นพรึงไว้ได้
“อืม” เสียงต่ำ ๆ ในลำคอ ทำคนนั่งข้างใจเต้นแรง คนขับรถหันมามองหน้าอีกฝ่าย
“ฉันแค่ล้อเล่น เธอกลัวจริงเหรอ”
“มะ...ไม่ค่ะ...” ลมหายใจที่เคยถี่ขึ้นนิดหน่อยในก่อนหน้านี้เริ่มปรับตัวลง
ทำไมฉันเห็นภาพแบบนั้นขึ้นมาล่ะ เขาไม่ได้ทำจริง ๆ เสียหน่อย
แล้วตลอดทางก็เข้าสู่ความเงียบ จนคนที่ติดรถมาด้วยนั้นไม่กล้าชวนคุยอะไร
จวบจนเวลารุ่งเช้าที่แสงอาทิตย์ทอบนผืนฟ้ารำไรที่ไกลสุดสายตา ความหนาวเย็นชื้นนิด ๆ ด้วยไอหมอก ให้ความรู้สึกถึงอากาศบริสุทธิ์ มันสดชื่นจนทะลุผ่านเข้ามาในปอดคนกรุง
.
.
เสียงท่อรถผ่อนกำลังลงเรื่อย ๆ
จนกระทั่งล้อหยุดลงในวินาทีต่อมา
ฟ้ารินตื่นขึ้น เธอใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อปรับสายตา มองเห็นภาพตรงหน้าไร้ซึ่งถนน แต่กลายเป็นยอดเขา และขณะนี้รถจอดอยู่ที่จุดพักกับทิวทัศน์ก่อนฟ้าสาง สายหมอกเล็กน้อยเคลื่อนผ่านที่วิวด้านล่าง แม้ไม่สูงอย่างภูเขาในภาคเหนือ แต่เพียงเท่านี้ก็รู้ว่าชุมชนเมืองอยู่เบื้องล่าง และป่าไม้เขียวชอุ่มแน่นตลอดเทือกเขาคือหนทางแห่งความโดดเดี่ยว
ดวงตากลมโตแววตาหวานตามภาษาเพศสภาพ เธอหันมามองคนขับรถที่หงายหัวพิงไปกับเบาะหนังสีดำขลิบสีน้ำเงิน สีหน้าแลเหนื่อยล้า เปลือกตาปิดสนิท เพียงเห็นแค่เสี้ยวหน้าที่ถูกกั้นด้วยสันจมูกโด่งกับเรียวคิ้วเข้มดกดำ รับแสงสว่างจากนอกรถที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทีละนิด
จะหล่อไปไหนวะเนี่ย
คนสวยแอบพิจารณาใบหน้าแล้ว สายตาไม่สามารถละไปจากเขา จึงเริ่มมองการแต่งกาย
เสื้อแขนสั้นลายทหารกับผิวต้นแขนที่สะท้อนความแข็งแรงสีแทนครึ่งล่าง แต่แขนเสื้อที่ถลกขึ้นนิดหน่อย เผยความแตกต่างกันของผิวขาวที่ซ่อนไว้ รอยสักแถวลำคอที่โผล่ออกมาให้เห็นนิด ๆ ส่วนด้านล่างสวมกางเกงยีนขาขาดเป็นริ้วที่หน้าขา นาฬิกาเรือนใหญ่ดูหนัก กับเชือกถักที่ข้อมือ
การแต่งกายธรรมดา และเขาดูแตกต่างจากเพื่อนพี่ณคุณโดยสิ้นเชิง คนนี้คือหนึ่งในตัวการโจรกรรมรถสินะ ทรงนี้…ใช่แหละ แต่เธอไม่ว่าอะไรเขาหรอก
“เธอคิดอะไรอยู่” เสียงทุ้มต่ำฟังครางเครือคงเพราะก่อนหน้านี้เขาหลับไปจริง ๆ ทำเอาคนที่แอบมองอยู่ตกใจ
“ไม่ว่าอะไรค่ะ”
“ไม่ว่าอะไร หมายถึงอะไร” เขาเอียงหัวหันไปอีกด้านที่ไม่มีเธอ
“เรื่องที่พี่ขโมยรถกัน หนูไม่ว่าอะไรค่ะ ไม่เกี่ยวกับหนู”
“เดินเล่นได้แค่แถวนี้ แต่ถ้าจะให้ดี ก็อย่าเพิ่งลงไป ฉันขอนอนพักแป๊บนึง” เขาพูดโดยไม่สนใจประโยคก่อนหน้านี้เลย
“อ่าค่ะ หนูจะนั่งในรถเงียบ ๆ” หญิงสาวที่อาศัยรถเขารีบตอบอย่างหนักแน่นและกระตือรือร้น ไม่อยากทำตัวเป็นภาระเพิ่มขึ้นให้ผู้มีพระคุณ
“.......” ไม่มีใครมองเห็นว่ามุมปากของอีกคนยกยิ้มเบา ๆ
สิบห้านาทีต่อมา
ร่างใหญ่โตเหมือนหมีภูเขา ขยับตัวช้า ๆ ลุกขึ้นนั่งหลังตรง แค่เขาใช้อุ้งมือกดรอบดวงตา ใบหน้าที่เหนื่อยล้าก็กลับมาตื่นตัว...โอ้! คนหล่อนี่มันได้เปรียบจริง ๆ
น้ำดื่มขวดเดียวกันที่ยกมาให้เธอกิน ทำฟ้ารินคิดอะไรเวอร์ไปคนเดียว จะจุ๊บกันแล้ว!? พร้อมสายตามองลูกกระเดือกเคลื่อนที่ยามเขากลืนน้ำ
“เอามั้ย” เขาเอียงหัวถาม
“เชิญเลยค่ะ เชิญเลย”
“ไม่ดื่มจะปากเหม็นนะ” เขาพูดน้ำเสียงเหมือนกำลังหลอกเด็ก แต่มันได้ผล เพราะฟ้ารินกระดกก้น เอื้อมมือคว้าขวด ท่านั่งยงโย่ยงหยกทำคนตัวเล็กแอ่นไปมา มือหนาประคองแผ่นหลังให้เธออยู่นิ่ง
“หือ!?” เสียงเล็กเล็ดลอดจากลำคอ ขมวดคิ้วบอกความไม่พอใจนิดหน่อยที่เขาแตะเธอ
“ดื่ม” เขาสั่ง
แต่มันเหมือนจะจูบทางอ้อม...เอ๊ย รับเชื้อโรคต่อกันได้นะ…
“ดื่มสิ” เขาสั่งอีก
ฟ้ารินรีบดื่ม เธอยกปากขวดห่างนิดหน่อย สายน้ำค่อย ๆ ไหลลงจนรู้สึกเพียงพอ แต่น้ำในขวดยังคงเหลืออยู่
เขาจับขวดผ่านมือเล็กนั้น แม้สัมผัสแค่ปลายก้อย แต่หัวใจดวงน้อย ๆ ก็รู้สึกหวั่นไหวเสียเฉย ๆ ฉันมันง่ายอะไรขนาดนี้วะ!!!!!
แกร๊บ…กรอบแกรบ
ขวดพลาสติกบิดเป็นเกลียวเหมือนผ้าขี้ริ้วยามต้องการรีดน้ำออก ก่อนที่เขาจะลดกระจกลง แล้วชู้ตขวดโค้งลงถังขยะสีสนิมอย่างสวยงาม
เครื่องยนต์คำรามอีกครั้ง ยามฟ้าเปิดช่วยให้เห็นอะไร ๆ ชัดเจน หญิงสาวได้เห็นสีฟ้าที่กระโปรงหน้ารถช่างดูสดใส เธอพยายามชะเง้อคอมองนิดหน่อยด้วยความใคร่รู้
หวืดดดดด
หลังคาเปิดประทุน รับลมยามเช้า ความเย็นชื้นของสายหมอก และละอองน้ำค้างที่ล่องลอยในป่าใหญ่ ถนนลาดยางเส้นทางคดเคี้ยว กับภูเขาสูงราวกับจะพาตะลุยไปอย่างไม่สิ้นสุด
“โชคดีจริง ๆ” เขาเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ แต่แรงโต้ลมของรถที่ทะยานขึ้นเขา ทำเสียงกระพือดังจนอีกฝ่ายไม่ได้ยินว่าพูดอะไร ฟ้ารินรู้แต่ว่า เขาขับช้าลงกว่าตอนอยู่บนทางราบ
“ตอนแรกว่าจะขอติดรถไปด้วย ที่ไหนก็ได้ แต่ตอนนี้ ฮ่า ๆ” เธอพูดเสียงดังออกมา แล้วหัวเราะเพราะขำตัวเองที่ดันพูดจาอวดดี ราวกับยอมรับทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ คล้ายจะสามารถจัดการหรือเผชิญได้หมด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
คนขับหันมามอง เห็นเธอแววตาแดง ๆ เขาเอื้อมมือหยิบแว่นกันแดดแล้วยื่นส่งให้
“ขอบคุณนะคะ”
“......” พอดีมีหลายอันน่ะ แต่ไม่อยากพูดไปให้เสียมารยาท
รถวิ่งเข้าโค้งไปมากับประสบการณ์ครั้งแรกในการขึ้นเขา โชคดีที่เปิดหลังคารับอากาศสดชื่น มิเช่นนั้นคงมีคนเมารถ อ้วกใส่รถสปอร์ตครั้งแรกในชีวิต
“ไหวมั้ย” เขาถาม
“สบาย” คนตอบ สีหน้าสวนทางกับคำพูด ชายหนุ่มขับช้าลงอีกระดับ
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับน้ำใจ แววตาซาบซึ้งใจส่งผ่านมาให้ ร่างสูงหรี่ตามองอวัจนะภาษาของเธอ
“หิวเหรอ” ชายหนุ่มถาม แต่ไม่ได้ฟังคำตอบ เท้าใหญ่เหยียบคันเร่งวิ่งเร็วขึ้นทันที
เพียงไม่นาน ชุมชนที่ราบบนภูเขาเริ่มโผล่มาให้เห็น ชายหนุ่มขับชะลอลงอีกครั้ง ก่อนจะขับผ่าถนนเส้นเล็กกลางหมู่บ้านเพื่อแยกไปปลายทาง
ผู้คนที่กำลังใช้ชีวิตตามวิถีต่างหันมองตามรถหรูที่ขับมา พอลับตาก็หายสนใจ เพราะรู้กันว่าที่ดินปลายทางนั้นเป็นบ้านเศรษฐี
รั้วสูงไล่ระดับตามเนินเขา ด้านหน้ามีซุ้มรักษาความปลอดภัยที่ดูจริงจัง จนกระทั่งไฮเปอร์คาร์คลุกฝุ่นจอดสนิทตรงหน้าป้อม
ชายหนุ่มเปิดกระเป๋าสตางค์ใบเท่าฝ่ามือของเขา หยิบการ์ดส่งให้คนนั่งข้าง ๆ
“เอาให้เขาที” เสียงทุ้มต่ำพูดเบา ๆ
ฟ้ารินรับของมาในมือ สภาพการ์ดสีดำสนิท ตัวหนังสือสีทอง ดีไซน์เรียบ ๆ ไม่มีอย่างอื่น ไม่ว่าจะโลโก้ธนาคาร หรือคำที่บอกว่าเป็น VISA หรือ MASTER CARD หรือวันเดือนปีที่หมดอายุ มันไม่มีอะไรเลยจริง ๆ นอกจากแถบชิปสีทองเล็ก ๆ ทางด้านซ้ายซึ่งไม่เด่นเท่าข้อความภาษาอังกฤษ
ARTITPANIT TESHIN
อาทิตย์พาณิช...คุ้นมาก
นามสกุล...อ๋า...ซอยร้านเหล้าอาทิตย์พาณิช
เจ้าของราปิโด
เจ้าของห้าง APN
เจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์
แม่เจ้า เขาไม่ใช่เพื่อนพี่ณคุณ
แต่เป็นเจ้านายของพี่ณคุณ
มิน่า ถึงเอารถออกมาได้
“ส่งให้เขาที” เขาพูดย้ำอีกครั้ง เมื่อหญิงสาวค้างทั้งสายตาและมือ
“เอ่อ ค่ะ ๆ” ฟ้ารินยื่นส่งให้เจ้าหน้าที่ เพราะคนขับรถนั่งอยู่ฝั่งซ้าย คนนั่งข้างจึงต้องทำหน้าที่ส่งให้แทน
“โอ้! มาแล้วเหรอครับ ยินดีต้อนรับนะครับนายน้อย” เสียงเหน่อตามสำเนียงท้องถิ่น ชายคนนั้นกุลีกุจอรับบัตรมาด้วยท่าทีพินอบพิเทา
บัตรนั่นถูกแตะที่ระบบยืนยันตัวตน แจ้ง Check in สถานที่แบบอัตโนมัติไปยังเครือข่ายอาทิตย์พาณิช
ประตูชั้นที่สองเปิดออก เขาขับเข้าไปช้า ๆ และในนี้เหมือนเป็นอีกเมือง
“หวัดดีครับ”
“สวัสดีค่ะนายน้อย”
“โอ้ นายน้อย หวัดดี ๆ”
เสียงทักทายจากลูกจ้างหลายคนดังแข่งกับเสียงเครื่องยนต์ และปลายทางสุดท้ายคือหน้าบ้าน
“จอดนี่เลย เดี๋ยวล้างให้สะอาดเอี่ยมอ่องเหมือนเพิ่งมาจากโชว์รูม” ลุงคนหนึ่งพูด เขาสวมเสื้อกล้ามกับกางเกงขาก๊วยผ้าแพรสีแดงเลือดหมู มีผ้าขาวม้าพาดบ่า และแกสวมแว่นกันแดดด้วย
“ขอบคุณครับ” เขาพูดเสียงสุภาพขึ้นกว่าตอนคุยกับคนที่นั่งรถมา ชายหนุ่มกดปิดหลังคาเปิดประทุนนั้น ก่อนจะดับเครื่อง
“ลงครับ” เขาหันมาบอกเธอ
“พักที่นี่เหรอคะ”
“อืม”
----
บันไดปูลาดขึ้นเนิน เมื่อเท้าแตะถึงขั้นบนสุด จึงได้เห็นชานเรือนกว้างกว่าบ้านที่เธออยู่อาศัยที่กรุงเทพฯ เสียอีก พื้นต่างระดับที่ปลายสายตา บ้านไม้ขนาดใหญ่ชั้นเดียว หน้าต่างและประตูกระจกบานกว้าง กับม่านสูงท่วมหัวที่กำลังเปิดรับแสง
คนงานเดินเข้าออก แต่ทุกคนต้องทักทายชายคนนั้นตลอดเวลา และคนเดินนำหันมาหา สายตามองหญิงสาวอย่างพิจารณา
“จะอาบน้ำหรือกินข้าวก่อน” เขาถาม
“เอ่อ ขออาบน้ำก่อนดีกว่าค่ะ”
“นุ่งผ้าถุงหรือบ๊อกเซอร์”
“……” หญิงสาวทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก คิ้วขมวดไปด้วย แต่แววตาระคนความขำขัน
“บ๊อกเซอร์สินะ” เขาตอบเอง แล้วเดินเข้าไปในบ้าน ฟ้ารินที่มีเพียงกระเป๋าถือใบเล็กแบบที่มีสายสะพายข้างได้ด้วย ในนั้นพกเพียงโทรศัพท์กับการ์ดต่าง ๆ และเธอไม่มีเงินสดสักบาท หญิงสาวรีบวิ่งตามเข้าไป
ปุ!
ใบหน้ากระแทก กดเข้ากับอกกว้างของคนโตที่หันหน้ามาหาพอดี
“เรารู้จักกันมั้ย” เขาถาม
“เอ่อ…ไม่รู้จักค่ะ แต่เราทำความรู้จักกันได้นะ” เธอรีบตอบ เกรงว่าเขาจะไล่ให้ออกไปจากที่นี่…
มันมีแต่ป่านะ อย่าได้เอ่ยปากไล่หนูเด้อ
“ดี งั้นเดี๋ยวเรานอนห้องเดียวกัน เพราะเธอตอบว่า เราไม่รู้จักกัน ความไว้วางใจต้องใช้เวลาพิสูจน์”
เขาตอบ แล้วหันหลังทิ้งเธอไว้ที่ห้องรับแขก
ช็อกกับคำว่า
นอนห้องเดียวกัน เท่ากับว่า นอนด้วยกัน ใช่มั้ย!?
อย่างนี้ก็ได้เหรอ!?
บ้า…กำไรฉันนะ!!!